ยุคของโรมัน อับราโมวิช (ค.ศ. 2003–2022)

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 เคนเบตส์ได้ขายสโมสรให้แก่โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียในราคา 140 ล้านปอนด์ และทีมได้ทุ่มซื้อผู้เล่นชื่อดังมากมาย โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของสโมสรในการยกระดับเป็นทีมระดับโลกจนถึงปัจจุบัน[23][24][25][26] เขาได้ปลดรานีเอรีออกจากตำแหน่ง และแทนที่ด้วยโชเซ มูรีนโย ซึ่งเข้ามาเป็นตำนานผู้จัดการทีมที่นำความสำเร็จมาสู่สโมสร[27][28] เริ่มจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004–05 ด้วยคะแนนสูงถึง 95 คะแนน และเป็นครั้งแรกที่สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาจากฟุตบอลดิวิชันหนึ่ง และยังเอาชนะลิเวอร์พูลในนัดชิงชนะเลิศลีกคัพ 3–2[29]

เชลซีป้องกันแชมป์ลีกได้อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา ถือเป็นสโมสรที่ 5 ในอังกฤษที่ได้แชมป์ลีก 2 สมัยติดต่อกันนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาในฤดูกาล 2006–07 เชลซีเสียแชมป์พรีเมียร์ลีกให้แก่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่ยังได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยสองรายการในเอฟเอคัพ (ชนะยูไนเต็ด 1–0) และลีกคัพ (ชนะอาร์เซนอล 2–1) มูรีนโยถูกปลดในช่วงต้นฤดูกาล 2007–08 จากการมีปัญหากับผู้บริหาร โดยมูรินโญอำลาทีมไปพร้อมสถิติไม่แพ้ทีมใดในบ้านตลอดสองฤดูกาลที่ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก[30] อัฟราม แกรนท์ ผู้จัดการทีมชาติอิสราเอลเข้ามาคุมทีมต่อ และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกแต่แพ้จุดโทษยูไนเต็ดหลังจากเสมอกัน 1–1[31] และยังได้รองแชมป์ทั้งในพรีเมียร์ลีก และลีกคัพ (แพ้ทอตนัมฮอตสเปอร์ 1–2)

ในฤดูกาล 2008–09 ลูอิส เฟลีปี สโกลารี เข้ามาคุมทีม โดยเป็นผู้จัดการทีมที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกคนแรกที่ได้คุมสโมสรในพรีเมียร์ลีก แต่ก็ถูกปลดหลังผ่านไปเพียง 6 เดือน คืส ฮิดดิงก์ เข้ามารับตำแหน่งชั่วคราว เขาพาทีมผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่แพ้บาร์เซโลนาด้วยกฏประตูทีมเยือนหลังจากเสมอกันรวมผลสองนัด 1–1 ซึ่งผู้ตัดสินได้รับการวิจารณ์ในการแข่งขันนัดที่สองที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ เชลซีจบอันดับ 3 ในลีก และคว้าแชมป์เอฟเอคัพด้วยการชนะเอฟเวอร์ตัน 2–1[32] ต่อมาในฤดูกาล 2009–10 การ์โล อันเชลอตตี เข้ามาคุมทีม และประเดิมด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ ก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการยิงไปถึง 103 ประตู โดยเป็นสโมสรแรกในลีกสูงสุดของอังกฤษที่ทำเกิน 100 ประตูในฤดูกาลเดียวนับตั้งแต่ ค.ศ. 1963 และยังเป็นสถิติมากที่สุดอันดับสองในพรีเมียร์ลีกมาถึงปัจจุบัน[33] เชลซียังป้องกันแชมป์เอฟเอคัพโดยชนะพอร์ตสมัท 1–0 เป็นการทำดับเบิลแชมป์ในประเทศได้เป็นครั้งแรกในยุคพรีเมียร์ลีก ต่อมาในฤดูกาล 2010–11 เชลซีเสียแชมป์พรีเมียร์ลีกให้แก่ยูไนเต็ด และตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการ[34] อันเชลอตตีถูกปลดเมื่อจบฤดูกาล[35]

เชลซีชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยแรกในฤดูกาล 2011–12

ในฤดูกาล 2011–12 อังแดร วีลัช-โบอัช เข้ามาคุมทีมแต่ทำผลงานย่ำแย่จนโดนปลด โรแบร์โต ดี มัตเตโอ เข้ามารักษาการ และพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยแรกโดยเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกในการดวลจุดโทษ ถือเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนที่คว้าแชมป์ได้ และยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพจากการชนะลิเวอร์พูล 2–1 ดี มัตเตโอได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ก็ถูกปลดในฤดูกาลต่อมา และราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาคุมทีมชั่วคราว[36] แม้จะทำได้แค่รองแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก โดยแพ้คอรินเทียนส์ 0–1 แต่สโมสรคว้าแชมป์ยูโรปาลีกสมัยแรกโดยชนะไบฟีกา 2–1 ถือเป็นสโมสรแรกที่ได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และยูโรปาลีกสองฤดูกาลติดต่อกัน รวมทั้งเป็นสโมสรที่ 4 ของยุโรปที่คว้าถ้วยรางวัลหลักของยูฟ่าครบทั้ง 3 รายการ ได้แก่ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ และ ยูฟ่ายูโรปาลีก

โชเซ มูรีนโย กลับมาคุมทีมอีกครั้งในฤดูกาล 2013–14 แม้จะไม่ได้แชมป์รายการใดในปีแรก แต่พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2014–15 ด้วยการไม่แพ้ทีมใดในบ้านทั้งฤดูกาล และคว้าแชมป์ลีกคัพด้วยการชนะสเปอร์ 2–0 ต่อมาในฤดูกาล 2015–16 เชลซีแพ้อาร์เซนอลในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ และมีผลงานย่ำแย่ทำให้มูรีนโยถูกปลด คืส ฮิดดิงก์ เข้ามาคุมทีมชั่วคราวอีกครั้ง แต่ผลงานไม่ดีขึ้น โดยจบฤดูกาลเพียงอันดับ 10 ไม่ได้แข่งขันฟุตบอลยุโรป ต่อมา ในฤดูกาล 2016–17 อันโตนีโอ กอนเต พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 6 ด้วยคะแนน 93 คะแนนซึ่งมากที่สุดในรอบ 12 ปี แต่ในฤดูกาลต่อมา พวกเขาทำได้เพียงจบอันดับ 5 และแม้จะคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้จากการชนะยูไนเต็ด 1–0 แต่กอนเตก็ถูกปลด[37] เมารีซีโอ ซาร์รี เข้ามาคุมทีมต่อในฤดูกาล 2018–19 และพาทีมชนะหลายนัดในช่วงแรก ก่อนจะสะดุดในเวลาต่อมารวมทั้งแพ้แมนเชสเตอร์ซิตี 0–6[38] ซึ่งเป็นการแพ้ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของสโมสร ตามด้วยการตกรอบเอฟเอคัพด้วยการแพ้ยูไนเต็ด และยังแพ้จุดโทษแมนเชสเตอร์ซิตีในอีเอฟแอลคัพ 2019 นัดชิงชนะเลิศ[39] แต่ยังจบอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก และคว้าแชมป์ยูโรปาลีกโดยชนะอาร์เซนอล 4–1[40][41]

เชลซีชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2018–19

เข้าสู่ฤดูกาล 2019–20 เชลซีต้องเสียผู้เล่นสำคัญทั้งเอแดน อาซาร์ และดาวิด ลูอีซ รวมถึงผู้จัดการทีมอย่างซาร์รีที่ย้ายไปคุมยูเวนตุส[42] และสโมสรไม่สามารถซื้อขายนักเตะใหม่ตลอดทั้งฤดูกาลจากการทำผิดกฎการซื้อผู้เล่นเยาวชน[43] แฟรงก์ แลมพาร์ด อดีตผู้เล่นของสโมสรเข้ามาคุมทีม และพาเชลซีจบอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก และยังผ่านเข้าสู่เอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2020 แต่แพ้อาร์เซนอล 1–2 แลมพาร์ดถูกปลดในเดือนมกราคม ค.ศ. 2021 จากผลงานย่ำแย่ในฤดูกาล 2020–21[44] โทมัส ทุคเคิล เข้ามาคุมทีมต่อ และพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นสมัยที่สอง โดยชนะแมนเชสเตอร์ซิตี 1–0 แต่ทำได้เพียงรองแชมป์เอฟเอคัพจากการแพ้เลสเตอร์ซิตี 0–1 ในรอบชิงชนะเลิศ 2021 และในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2021 สโมสรออกแถลงการณ์ยืนยันเข้าร่วมการแข่งขันเดอะซูเปอร์ลีก ร่วมกับสโมสรใหญ่ในยุโรป[45] แต่ได้ประกาศยกเลิกในวันต่อมาเนื่องจากกระแสต่อต้านของผู้สนับสนุน[46] ในปีนี้เชลซียังเป็นสโมสรแรก ๆ ที่ให้การสนับสนุนบริการสุขภาพแห่งชาติจากการระบาดทั่วของโควิด-19[47] ต่อมาในฤดูกาล 2021–22 เชลซีคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพโดยชนะจุดโทษบิยาร์เรอัล[48] ตามด้วยแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2021 จากการชนะปัลเมย์รัส 2–1 คว้าแชมป์สมัยแรก พวกเขายังเข้าชิงชนะเลิศอีเอฟแอลคัพแต่แพ้ลิเวอร์พูลในการดวลจุดโทษ[49]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 อับราโมวิชประกาศขายสโมสรอย่างเป็นทางการ และจะนำเงินส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือชาวยูเครนที่ได้รับผลกระทบจากจากการรุกรานของรัสเซีย นอกจากนี้อับราโมวิชยังกล่าวว่า เงินที่ทางสโมสรติดค้างเขาอยู่จำนวนกว่า 1,500 ล้านปอนด์นั้น สโมสรมิต้องดำเนินการชำระคืน[50][51] ก่อนที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรจะประกาศคว่ำบาตรอับราโมวิชในวันที่ 12 มีนาคม[52] ส่งผลให้สโมสรมิสามารถซื้อขายหรือต่อสัญญาผู้เล่นได้ ต่อมา ในวันที่ 7 พฤษภาคม สโมสรยืนยันว่าได้ตกลงขายหุ้นให้แก่กลุ่มนักธุรกิจซึ่งนำโดยท็อดด์ โบห์ลี และมาร์ก วอลเตอร์ ชาวอเมริกัน รวมถึง ฮานสยอร์ก ไวส์ ชาวสวิส ด้วยมูลค่า 2,500 ล้านปอนด์[53] ก่อนที่เชลซีจะเข้าถึงเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2022 แต่ก็แพ้ลิเวอร์พูลในการดวลจุดโทษไปอีกครั้ง[54] และจบในอันดับสามในพรีเมียร์ลีก

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ติชม


ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

สร้างโดย :


Kittisak

สถานะ : ผู้ใช้ทั่วไป
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ