ทุกวันนี้น้องแมว ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่นหรือมีไว้ประดับบ้านเฉย ๆ เหมือนแต่ก่อน แต่แมวกลายมาเป็นลูกรักหัวแก้วหัวแหวนของผู้คนทั่วโลกมากมาย ด้วยนิสัยของพวกมันที่มักจะฉลาด หยิ่ง และเอาแต่ใจ ทำให้เจ้าของอย่างเรากลายเป็น “ทาสแมว” ด้วยความเต็มใจไปโดยปริยาย สำหรับทาสแมวมือใหม่ ที่ยังไม่รู้จักแมวพันธุ์ต่าง ๆ มากนัก และทาสแมวที่กำลังมองหาสายพันธุ์แมวน่ารัก สวย ๆ
แมววิเชียรมาศ (Siamese)
วิเชียรมาศ หรือ แมวโทน บางตำราเรียก แมวแก้ว เป็นแมวไทยโบราณ ตำราว่า ตัวเป็นสีดำดังหมึกวาด และเป็นแมวมงคล มักเลี้ยงกันในวังมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สามัญชนไม่สามารถเลี้ยงได้ มีมูลค่าสูง ซื้อขายได้ถึงหนึ่งแสนตำลึงทอง เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ถูกนำไปพม่าเพราะเห็นว่าเป็นทรัพย์สินมีค่า หลังจากนั้นก็สูญหายไปจากไทย ต่อมา สมเด็จพุฒาจารย์ พุทฺธสโร ท่องเที่ยวเมืองอยุธยาที่ร้างแล้ว ได้พบสมุดข่อยที่ไม่ถูกเผาซึ่งเอ่ยถึงแมวนี้ จึงให้คนไปไล่หาแมวนี้มาจนพบ จึงได้พันธุ์แมววิเชียรมาศกลับสู่ไทย
ลักษณะโดยทั่วไป
ลักษณะที่เป็นข้อเด่น
- ขน ขนสั้นแน่นสีขาว หรือสีน้ำตาลอ่อน มีแต้มสีครั่ง หรือสีน้ำตาลไหม้ที่บริเวณใบหน้า หูทั้งสองข้าง เท้าทั้งสี่ หางและที่อวัยวะเพศ (ทั้งแมวเพศผู้และแมวเพศเมีย) รวมเก้าแห่ง ขณะที่อายุยังเป็นลูกแมว ขนจะออกสีครีมอ่อน ๆ หรือขาวนวล พอโตขึ้นสีจะค่อย ๆ เข้มขึ้นตามลำดับจนเป็นสีน้ำตาล (สีลูกกวาด)
- หัว หัวไม่กลมหรือแหลมเกินไป หน้าผากใหญ่และแบน จมูกสั้น หูใหญ่ ตั้งสูงเด่นบนส่วนหัว
- ตา สีฟ้า
- หาง ยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนใหญ่และค่อย ๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว
-
ลักษณะที่เป็นข้อด้อย
ขนยาวเกินไป มีแต้มสีไม่ครบทั้งเก้าแห่ง แต้มสีอื่นที่ไม่ใช่สีน้ำตาลไหม้ นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสีหรือเป็นสีอื่น ๆ ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นเกินไป (เมื่อยืนขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว) หางขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
แมววิเชียรมาศใช้เป็นสัญลักษณ์ในการแข่งขันซีเกมส์ 1985 ที่กรุงเทพมหานคร และยังใช้เป็นสัญลักษณ์ของการแข่งขันซีเกมส์ 1995 ที่จังหวัดเชียงใหม่ มีชื่อว่า 'สวัสดี' (Sawasdee) นอกจากนี้ ในโครงการพิเศษ 'แคทไอดอล' ของวงไอดอลซีจีเอ็มโฟร์ตีเอต มีแมวที่เป็นสมาชิกตัวหนึ่งที่เป็นสายพันธุ์วิเชียรมาศ ชื่อว่า 'หอมนวล'
-
แมวสีสวาด (Korat cat)
แมวสีสวาด หรือแมวโคราช ในอดีตผู้คนนิยมให้เป็นของขวัญแก่กัน เพราะเชื่อกันว่า จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา
ประวัติสายพันธุ์ แมวสีสวาด
แมวสีสวาด หรือแมวโคราช ถือเป็นแมวอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีมายาวนาน มีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทย โดยชื่อของ “แมวโคราช” มาจากชื่อจังหวัดที่เป็นสถานที่กำเนิดของแมว ซึ่งในประเทศไทยยังรู้จักแมวโคราชในชื่ออื่น ๆ อย่าง แมวสีสวาด แมวมาเลศ หรือแมวดอกเลา ที่มีหมายถึง “ความรัก” และความโชคดี อีกทั้งยังเชื่อว่า แมวโคราชเป็นหนึ่งในแมวมงคลโบราณให้คุณ หากเลี้ยงไว้จะนำมาซึ่งความสุขสวัสดิ์ เป็นมงคลแก่เจ้าของ
แมวโคราชได้รับการยกย่องชื่นชมจากผู้คนทั้งในและต่างประเทศ โดยแมวโคราชถูกนำไปโชว์ในงานแสดงแมวที่ประเทศอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 ในชื่อ Blue Siamese และนำเข้าไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี 1950 ซึ่งแมวโคราชถือเป็นแมวไม่กี่สายพันธุ์ ที่มีสีขนเดียวตลอดทั่งตัว คือ สีเทาน้ำเงิน (silvery blue)
ลักษณะทางกายภาพ
แมวโคราชจัดอยู่ในกลุ่มแมวขนาดกลาง เป็นแมวที่มีกล้ามเนื้อแน่นและแข็งแรง ลักษณะภายนอกคล้ายกับแมวสายพันธุ์จากประเทศรัสเซีย (Russian Blue) แต่มีขนชั้นเดียวมากกว่าขน 2 ชั้น และเพศเมียมักมีความสง่างามมากกว่าเพศผู้ แมวโคราชเป็นแมวที่มีขนสั้น มีความมันวาว และละเอียด บริเวณลำตัวจะเป็นสีเทาน้ำเงิน (silvery blue) ไม่ควรมีลายหรือมีสีอื่นแทรก ส่วนบริเวณจมูก ปากและฝาเท้ามีสีเทาน้ำเงินเข้ม หรือสีลาเวนเดอร์ ซึ่งขนแมวจะมีสีเข้มเงาเต็มที่ เมื่อแมวอายุประมาณ 2 ปี
ส่วนหัวมีลักษณะรูปหัวใจ เมื่อมองจากทางด้านหน้า บริเวณหน้าผากกว้างและแบน มีดวงตากลมและสีออกเขียว ส่วนจมูกมีขนาดสั้น และโค้งลงด้านล่างเล็กน้อย และมีจุดสังเกตอยู่ระหว่างหน้าผากและจมูก บริเวณคาง และขากรรไกร มีความแข็งแรง และสามารถแยกจากกันได้ชัดเจน ส่วนหูมีขนาดใหญ่ และความกว้างจะลดลงจากล่างขึ้นบน คือ บริเวณฐานกว้างและด้านบนมีความกลมมน
แมวโคราชมีลักษณะลำตัวที่ดูแข็งแรง และมีมัดกล้ามเนื้อที่โดดเด่น ส่วนหลังมีความโค้งเล็กน้อยและขาทั้ง 4 ข้าง วางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับลำตัว โดยมีขาหลังยาวกว่าขาหน้าเล็กน้อย ส่วนหางมีความยาวขนาดพอดี โดยมีส่วนฐานกว้างและแคบลงจนถึงส่วนปลายที่มีความโค้งมน
ลักษณะนิสัย
แมวโคราชเป็นแมวสังคม และชอบที่จะเล่นกับคน สามารถเข้ากับครอบครัว และสัตว์ชนิดอื่นได้ดี แมวโคราชมักเป็นที่รักใคร่ของคนในครอบครัว เพราะ เป็นแมวที่ขี้อ้อน ชอบที่จะถูกกอด และเล่นด้วยในขณะที่พวกมันเป็นจุดสนใจ ซึ่งแมวโคราช ยังสามารถจดจำพฤติกรรม ที่ทำให้เจ้าของสนใจตัวเองได้
บางครั้งแมวจะปีนขึ้นไปบนตักหรือแขนของเจ้าของ เพื่อแสดงความรัก และบางครั้งอาจจะอิจฉา เมื่อสัตว์เลี้ยงตัวอื่นได้รับความรักจากเจ้าของมากเกินไป นอกจากนี้ แมวโคราชจะไม่ค่อยร้อง หรือบางครั้งแทบไม่ร้องเลย แต่อาจจะส่งเสียงร้องเวลาที่ไม่พอใจ หรือถูกรบกวนเล็กน้อยเพียงเท่านั้น
การเข้ากับเด็ก
แมวโคราชสามารถเป็นเพื่อนที่ดีให้กับเด็ก ๆ ได้ ชื่นชอบเด็กที่เล่นกับแมวด้วยความรักและเคารพ ไม่เล่นแรงเกินไป และแมวโคราชชอบที่จะเล่นและเรียนรู้เทคนิค ด้วยการดูแลที่เหมาะสม
การดูแล
การออกกำลังกาย
เนื่องจากแมวโคราชเป็นแมวที่มีกิจกรรมประจำวันสูง และเป็นแมวที่มีความแข็งแรง ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการออกกำลังกายที่ชัดเจน
อาหาร
เนื่องจากแมวโคราชเป็นแมวที่มีโครงสร้างของกล้ามเนื้อที่เยอะและแน่น จึงควรรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยอาหารที่มีคุณภาพ มีโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการ และเหมาะสมสำหรับช่วงอายุของแมวโคราช นอกจากนี้ ควรมีน้ำสะอาดที่มากพอให้แมวกินได้ทั้งวัน ซึ่งหากแมวไม่ดื่มน้ำสามารถให้น้ำในรูปแบบน้ำพุแมวเพิ่มได้
อายุขัย
แมวโคราชถือเป็นแมวที่มีอายุค่อนข้างยืน โดยมีอายุขัยเฉลี่ย ประมาณ 18-19 ปี
โรคประจำสายพันธุ์
- โรคระบบผิวหนัง
- อาการคันจากการแพ้ (Allergies/Atopy)
- โรคระบบประสาท
- ความผิดปกติของการสะสมไขมันในปมประสาท (Gangliosidosis)
- โรคระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจขยายใหญ่ (Hypertrophic Cardiomyopathy :HCM)
- โรคหลอดเลือดแดงอุดตัน (Arterial Thromboembolism)
- โรคไตและทางเดินปัสสาวะ
- โรคไตวาย (Renal Failure)
- โรคในทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Feline lower urinary tract disease :FLUTD)
- โรคระบบต่อมไร้ท่อ
- ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism)
- โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
แมวศุภลักษณ์ (Burmese Cat)
แมวศุภลักษณ์ ( Burmese cats ) เป็นแมวที่คุยเก่ง มีรูปร่างที่นุ่มนิ่มเพรียวบาง ซึ่งเจ้า ศุภลักษณ์นั้นเป็นทายาทสายตรงของ แมววิเชียรมาศ ของไทย ซึ่งนิสัยช่างพูดของพวกเขาก็สืบทอดมาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เสียงของ ศุภลักษณ์ นั้นอาจจะดูนุ่มนวล และร้องน้อยกว่าเล็กน้อย
เช่นเดียวกับ แมววิเชียรมาศ โดย ศุภลักษณ์ นั้นมีนิสัย ขี้เล่น ร่าเริง และแสนรู้ พวกน้องสามารถเข้ากับคนได้ง่าย และชอบที่จะคลอเคลีย ความจริงแล้ว ลูกแมวศุภลักษณ์นั้นน่ารักมากจน National Alliance of Burmese Breeders (NABB)ตั้งฉายาน้องว่า “เพื่อนคู่หูที่ดีที่สุด”
ศุภลักษณ์ นั้นแบ่งได้สองพันธุ์ คือ อเมริกันเบอร์มีส และ ยูโรเปียนเบอร์มีส โดยอเมริกันเบอร์มีสนั้นตัวเตี้ยกว่า มีหัวที่กว้างกว่า โครงหน้าสั้นกว่า และมีดวงตาที่กลมโตชัดเจน ส่วนยูโรเปียนเบอร์มีส หรืออีกชื่อคือ บริติชเบอร์มีส นั้นมีโครงหน้าที่ยาว หัวรูปลิ่ม และดวงตาที่เอียงอย่างชัดเจน
การดูแล
ศุภลักษณ์ นั้นโดยทั่วไปแล้ว มีสุขภาพแข็งแรง แต่อย่างไรก็ตาม น้อง ๆ อาจมีปัญหาสุขภาพบางข้ออยู่บ้าง
โดยน้อง ๆ อาจเกิดภาวะ Hypokalemiaหรือ โพแทสเซียมในเลือดต่ำได้ แม้ว่าจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยสัตวแพทย์อาจให้ทานอาหารเสริมโพแทสเซียม เพื่อช่วยรักษาอาการนี้ได้ นอกจากนี้ ศุภลักษณ์ บางตัวอาจป่วยเป็นโรคเบาหวาน ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง และการรักษาน้ำหนักสัตว์เลี้ยงของคุณให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมนั้น เป็นวิธีการป้องกัน ที่สามารถลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้
ศุภลักษณ์ ส่วนน้อยอาจเกิดมาพร้อมกับความพิการของกะโหลกศีรษะ บางรายเป็นโรคต้อหิน และบางรายมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคทางเดินปัสสาวะ และนิ่วในไต และยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคภาวะรับรู้สึกเกินในแมว (feline hyperaesthesia syndrome)
แมวศุภลักษณ์ นั้นมีประวัติที่น่าสนใจ โดยที่มาของสายพันธุ์นี้เริ่มต้นด้วย แมวสีน้ำตาลช็อกโกแลตชื่อ หว่องเมา ( Wong Mau ) แมวของกะลาสีชาวพม่าในช่วงทศวรรษที่ 1920 ถึง 1930 ที่ได้เดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา และกะลาสีได้ส่งต่อเธอให้กับนักเพาะพันธุ์แมวพันธุ์วิเชียรมาศ ในซานฟรานซิสโกชื่อ ดร. โจเซฟ ทอมป์สัน ( Joseph Thompson ) ซึ่งได้บันทึกว่า หว่องเมา เป็น ” แมวที่ค่อนข้างตัวเล็ก กระดูกแข็งแรงดี แต่มีลำตัวที่เล็กกว่าแมววิเชียรมาศ หางสั้นกว่า มีลักษณะกลมมน โครงหน้าสั้น มีความกว้างระหว่างดวงตาที่มากกว่า “
ดร. ทอมป์สัน ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าแมวมีจุดสีน้ำตาลเข้มที่หน้า ซึ่งขับเน้นให้ขนสีน้ำตาลเข้มของเธอเด่นขึ้น เขาจึงเพาะพันธุ์แมวให้มีจุดแบบแมววิเชียรมาศ การผสมพันธุ์ทำให้เกิดลูกแมวครอกแรกที่สืบทอดลักษณะของสายพันธุ์ จากแม่พันธุ์ได้ชัดเจน
หลังจากนั้น ดร. ทอมป์สัน ก็ผสมพันธุ์ หว่องเมา กับลูกแมวสีน้ำตาลตัวหนึ่งของเธอ ครั้งนี้ ครอกนี้มีลูกแมวสามประเภทที่แตกต่างกัน ได้แก่ ตัวที่ดูเหมือนแมววิเชียรมาศ ตัวที่มีลักษณะเหมือนแม่ และตัวที่มีสีน้ำตาลเข้มไม่มีจุด และในที่สุดแมวสีน้ำตาลเข้มที่ไม่มีจุด ได้ถูกนำมาใช้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของแมวศุภลักษณ์
ศุภลักษณ์ ได้รับการจดทะเบียนครั้งแรกโดย Cat Fanciers Association (CFA) ในปี 1936 และสายพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างเต็มรูปแบบในปี 1957 เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ล่าช้าคือ ผู้เพาะพันธุ์แมวศุภลักษณ์บางคน นำแมวของตนไปผสมข้ามพันธุ์กับ แมววิเชียรมาศ (ซึ่งภายหลังนั้นถูกห้าม) โดยการผสมข้ามสายพันธุ์ทำให้เกิดการพัฒนาของ แมวท็องกินีส
ปัจจุบันนี้ CFA ได้รับรองทั้ง อเมริกันเบอร์มีส และ ยูโรเปียนเบอร์มีส ให้ขึ้นทะเบียนเป็นแมวศุภลักษณ์ แต่รองรับเพียงบางสีเท่านั้น
แมวขาวมณี (Khao Manee)
ขาวมณี หรือขาวปลอด (Khao Manee) ลักษณะสายพันธุ์และนิสัย
ประวัติสายพันธุ์ แมวขาวมณี
แมวขาวมณี เป็นแมวที่มีต้นกำเนิดจากประเทศไทย ถูกบันทึกครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 14 ในเล่มที่เรียกว่า ตำราแมว เดิมมีชื่อว่า ขาวปลอด ซึ่งมีความหมายว่าสีขาวสนิททั้งตัว จากนั้นถูกเปลี่ยนมาเป็น ขาวมณี เนื่องจากมีสีตาที่แตกต่างกันออกไป
แมวขาวมณี เป็นที่ชื่นชอบของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่ 5) ซึ่งเป็นกษัตริย์ของไทยในช่วงปี 1868 – 1910 โดยแมวพันธุ์ขาวมณีถูกเลี้ยงเป็นอย่างดีภายในวังไม่ให้คนภายนอกเห็น และได้รับการปกป้อง เพื่อให้เป็นแมวที่มีต้นกำเนิดจากรางวงศ์ไท
แมวขาวมณีเป็นแมวที่พบได้ยาก และไม่เคยถูกส่งออกนอกประเทศ และจนกระทั่งปี 1999 คอลลีน เฟรมัท นักอนุรักษ์สัตว์ชาวอเมริกัน ได้เริ่มนำแมวพันธุ์ขาวมณีจำนวน 12 ตัว ไปทำการเพาะขยายพันธุ์ และหลังจากนั้นไม่นาน นักเพาะพันธุ์จากประเทศฝรั่งเศส ก็ได้สานต่อการขยายพันธุ์แมวขาวมณี ทำให้กลายเป็นเจ้าเดียวในประเทศแถบตะวันตก
ลักษณะทางกายภาพ ขาวมณี
แมวขาวมณีมีลักษณะเหมือนแมวฝั่งตะวันตก รูปร่างเพรียว สวยงาม มีโครงสร้างกระดูกที่ค่อนข้างบางและมีขาหน้าสั้นกว่าขาหลัง บริเวณส่วนหลังและข้างลำตัวโค้งเล็กน้อย หัวของแมวขาวมณีมีขนาดเล็กและมีรูปทรงสามเหลี่ยม จมูกมีรอยหักเล็กน้อย หูมีขนาดปานกลางและตั้ง โดยเฉพาะในเพศผู้ แมวขาวมณีมีจมูกและอุ้งเท้าเป็นสีชมพู
นอกจากนี้แมวขาวมณีมีลักษณะพิเศษที่โดดเด่น คือ รูปทรงของตาและสีของตา จะมีลักษณะเหมือนกับอัญมณีที่วางอยู่บนหินอ่อน และมีสีตาที่หลากหลาย ตั้งแต่สีฟ้าอ่อนจนถึงสีฟ้าไพลิน สีเขียวมรกต สีเขียวเพอริดอท หรือ สีเหลืองแซฟไฟร์ นอกจากนี้ในสภาวะปกติขาวมณีสามารถมีสีตาที่แตกต่างกันทั้ง 2 ข้างได้ และลักษณะขนที่พบเป็นขนสั้น เรียบ และมีสีขาวตลอดทั้งตัว
อายุขัย
แมวขาวมณีมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 10-12 ปี
ลักษณะนิสัย
แมวขาวมณีเป็นแมวที่ขี้เล่นและขี้สงสัย เป็นแมวที่ชอบเล่นเกมส์และชอบที่จะสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เข้ากับเด็ก แมว และสัตว์ขนาดเล็กได้ดี นอกจากนี้ลูกแมวขาวมณีเป็นแมวที่ต้องการความรักความเอาใจใส่ และชอบเล่นกับแมวตัวอื่น ๆ
การเข้ากับเด็ก
แมวขาวมณีสามารถเข้ากับเด็กได้ดี เนื่องจากเป็นแมวที่ชอบเล่นและมีความขี้เล่นในตัว โดยถ้าแมวได้อยู่กับสัตว์ชนิดอื่นหรือคนตั้งแต่ยังเด็กจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับแมวง่ายมากขึ้น
การดูแลขาวมณี
การออกกำลังกาย
เนื่องจากแมวขาวมณีโดยธรรมชาติเป็นแมวที่ชอบเล่น ชอบทำกิจกรรม ทำให้การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อช่วยรักษาความสมดุลของระบบกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของร่างกาย หากแมวได้ออกไปนอกบ้านมักจะเห็นแมวลงไปนอนกลิ้งที่พื้นหรือปีนบนต้นไม้ หรือถ้าหากเป็นแมวที่เลี้ยงภายในห้อง ควรมีเสาสำหรับฝนเล็บ โครงสำหรับปีนป่าย และของเล่นแมว หรือสิ่งของอื่นๆ ที่สามารถให้แมวเล่นปลดปล่อยพลังงานในตัวได้
อาหาร
ควรได้รับอาหารเม็ดและอาหารเปียกที่มีคุณภาพและเพียงพอ มีส่วนประกอบของโปรตีนมากกว่าคาร์โบไฮเดรต มีวิตามินและกากใย และควรแยกชนิดอาหารสำหรับแมวเด็ก แมวโตและแมวอายุมาก เนื่องจากแมวเด็กมีความต้องการไขมันและโปรตีน เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตมากกว่าแมวโต
โรคประจำพันธุ์
- โรคระบบผิวหนัง
- โรคผิวหนังจากหมัดแมว (Fleas)
- เชื้อราในแมว (Dermatophytosis)
- โรคระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ
- โรคหัดแมว (Feline distemper)
- โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
- ปัญหาสุขภาพช่องปาก
- ท้องเสีย
- โรคระบบทางเดินหายใจ
- โรคหวัดแมว (Rhinotracheitis)
- โรคหู
- หูหนวก (Deafness)
แมวไทยลายสลิด (Domestic Shorthair)
แมวไทยขนสั้น (Domestic Shorthair) ลักษณะสายพันธุ์และนิสัย
ประวัติสายพันธุ์
แมวไทยขนสั้น (Domestic Shorthair : DSH) นั้น ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มต้นเมื่อใด และไม่สามารถระบุได้ว่ามีกี่สายพันธุ์ แต่ได้ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมาย เนื่องจากเนื่องจากเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมตั้งแต่โบราณ และยังมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อที่ยังคงมีในปัจจุบัน ทั้งยังปรากฏแมวในสำนวนหรือสุภาษิตต่าง ๆ เป็นต้นว่า ‘ย้อมแมวขาย’ หรือ ‘ยื่นหมูยื่นแมว’ และ ‘ปิดประตูตีแมว’ เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าแมวไทยมีประวัติความเป็นมายาวนาน
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มมีการแยกลักษณะแมว ถือว่าเป็น “ตำราดูลักษณะแมว” เล่มแรกที่ได้ทำการแยกแมวไทยตามลักษณะนิสัย หรือบุคลิกของแมว ตำราดังกล่าวเป็นสมุดข่อย โดยแบ่งเป็นแมวมงคลและแมวให้โทษทั้งหมด 23 สายพันธุ์ (เป็นแมวมงคล 17 สายพันธุ์ และแมวให้โทษ 6 สายพันธุ์) เหตุที่แบ่งเป็นแมวให้คุณกับแมวให้โทษนั้น เป็นความเชื่อของคนในสมัยโบราณโดยดูว่าเลี้ยงแล้วจะนำสิ่งที่ดี ๆ หรือสิ่งชั่วร้ายมาสู่ผู้เป็นเจ้าของหรือไม่ ทั้งนี้แมวไทยส่วนใหญ่มีนิสัยดี ไม่ดุร้าย ฉลาด รู้จักประจบประแจง และรักเจ้าของเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมในประเทศได้เป็นอย่างดี จึงเป็นเหตุให้แมวไทยยังได้รับนิยมเลี้ยงมาจนถึงปัจจุบัน
ลักษณะทางกายภาพ
แมวไทยขนสั้น เป็นแมวขนาดกลาง โดยหัวมีลักษณะโครงสร้างยาวสมส่วนปราดเปรียว มีลำตัวขนาดเล็ก น้ำหนักเบา บวกกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและคล่องตัวของพวกมัน จนบางครั้งก็ได้รับฉายาว่า แมวขโมย อีกทั้งโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อที่มีความยืดหยุ่นสูง ดวงตากลมขนาดใหญ่ คอและลำตัว ขาเรียวเล็ก อุ้งเท้ากลม หางยาว
ขนสั้นที่เป็นจุดเด่น ขนมีลักษณะบางเบา และนุ่มคล้ายเส้นไหม โดยสีขนสามารถพบได้หลากหลายสี และหลายแบบ ขนาดของแมวไทยโดยทั่วไปไม่ได้ระบุความสูงมาตรฐานเอาไว้แน่ชัด แต่แมวเพศผู้อาจตัวใหญ่กว่าเพศเมียเล็กน้อย และมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 กิโลกรัม
อายุขัย
แมวไทยขนสั้น โดยทั่วไปมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 15-20 ปี หรือมากกว่านั้น
ลักษณะนิสัย
แมวไทยมีความฉลาด เลี้ยงง่าย มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ ที่สำคัญรักความอิสระของตัวเองเป็นอย่างมาก ได้ชื่อว่าเป็นแมวที่ชอบหนีเที่ยวเป็นประจำ เพราะ เป็นแมวที่ชอบเข้าสังคม ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น
การเข้ากับเด็ก
แมวพันธุ์ไทยสามารถเข้ากับเด็กได้ดี ด้วยเป็นแมวที่ชอบเล่นและมีความขี้เล่นอยู่แล้ว และยังมีนิสัยชอบอยู่ใกล้กับเจ้าของ จึงเข้ากับครอบครัวได้ง่าย เหมาะสำหรับการนำมาเลี้ยงอยู่กับเด็ก หรืออาจเลี้ยงร่วมกับสัตว์เลี้ยงอื่นได้
การดูแล
การออกกำลังกาย
พวกมันมีนิสัยที่ขี้เล่น และยังชอบทำกิจกรรม การให้แมวออกกำลังกายยังมีประโยชน์เพื่อช่วยรักษาความสมดุลของระบบกล้ามเนื้อ เสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย และยังช่วยพัฒนาสมองอีกด้วย นอกจากนั้นยังช่วยลดภาวะเครียดเมื่อแมวต้องอยู่ลำพัง
อาหาร
เพียงให้อาหารที่เหมาะสมและมีปริมาณแคลอรี่ที่เพียงพอต่อสัตว์ โดยเลือกสารอาหารที่จำเป็น และมีสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายและกิจกรรมในแต่ละวันของแมว รวมถึงควรให้อาหารที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย เพื่อการเจริญเติบโตที่ดีและความสวยงามของแมวด้วยเช่นกัน
โรคประจำพันธุ์
- โรคผิวหนัง
- โรคผิวหนังจากหมัดแมว (Fleas)
- การติดเชื้อรา (Dermatophytosis)
- โรคระบบโครงกระดูก ข้อต่อ และโครงสร้าง
- โรคข้อสะโพกเจริญผิดปกติ (Hip Dysplasia)
- โรคระบบทางเดินหายใจ
- โรคหอบหืด (Asthma)
- หลอดลมอักเสบแบบเรื้อรัง (Chronic Bronchitis)
- โรคระบบทางเดินอาหาร
- ปัญหาสุขภาพช่องปาก
- โรคระบบทางเดินหายใจ
- โรคหวัดแมว (Rhinotracheitis)
- โรคมะเร็ง
แมวโกนจา (konja cat)
โกนจา, โกญจา (แปลว่า นกกระเรียน)[1] หรือ ร่องมด[2] แมวชนิดนี้เป็นแมวสีดำสนิทตลอดทั้งตัว ขนสั้น ไม่มีสีอื่นใดปะปนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลักษณะเป็นขนเส้นเล็กละเอียดนุ่มและเรียบตรงทั้งลำตัว ส่วนหัวกลมแต่ไม่โต มีปากเรียวแหลม หูตั้ง นัยน์ตาเป็นสีเหลืองอมเขียวหรือทองอ่อน อาจเปรียบได้กับดอกบวบแรกแย้มหรือทองดอกบวบ รูปร่างสะโอดสะองคล่องแคล่ว หางยาว ปลายหางแหลมตรง อุ้งเท้าทอดคล้ายเท้าสิงห์ มีความสง่างามขณะเคลื่อนไหว
แมวสายพันธุ์โกนจา มีลักษณะคล้ายกับแมวสายพันธุ์ต่างชาติอีกสายพันธุ์หนึ่ง คือ บอมเบย์
ลักษณะโดยทั่วไป
ลักษณะที่เป็นข้อเด่น
- ลักษณะสีขน ขนสั้น สีดำตลอดทั้งตัว
- ลักษณะของส่วนหัว รูปหัวกลมไม่ใหญ่มาก หูใหญ่ ตั้งสูงเด่นบนส่วนหัว
- ลักษณะของนัยน์ตา นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม (สีเหลืองอมเขียว)
- ลักษณะของหาง หางยาว ปลายแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อย ๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขายาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว
ลักษณะที่เป็นข้อด้อย
ขนยาวมากเกินไป ขนมีสีอื่นปะปน นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่น ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นมากเกินไป ( เมื่อยืดขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว ) หางขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี
บทกวีที่กล่าวถึงแมวโกนจา
กายดำคอสุดท้อง | ขาขนเลเอียดเฮย | |
ตาดั่งศรีบวบกล | ดอกแย้ม |
โกนจาพนนิพนธ์ | นามกล่าว ไว้นา | |
ปากแลหางเรียวแฉล้ม | ทอดเท้าคือสิงห์ |
แมวเปอร์เซีย (Persian)
ประวัติความเป็นมา
ถิ่นกำเนิด: อิหร่าน
ชื่ออื่น ๆ: แมว Iranian
ประวัติความเป็นมาของแมวเปอร์เซีย (Persian Cat)
แต่เดิมนั้นแมวเปอร์เซีย มีถิ่นกำเนิดมาจากแถบเปอร์เซีย ซึ่งอยู่ภายในประเทศตุรกีและอิหร่านในปัจจุบัน ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของสายพันธุ์นี้ที่มักจะเรียกกันว่า แมว Iranian (หรืออีกชื่อนึงก็คือแมว Shirazi) โดยมีบันทึกว่าบรรพบุรุษของแมวสายพันธุ์นี้ ถูกนำเข้าจากอิหร่านมาถึงยังประเทศอิตาลี ในช่วงปี ค.ศ. 1620 และได้รับความนิยมจากผู้เลี้ยงแมวในแถบยุโรปเป็นอย่างมาก จึงได้มีการนำไปขยายพันธุ์ในสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1900 และได้รับการตั้งชื่อว่า Persian Cat ตามถิ่นกำเนิดของแมวสายพันธุ์นี้นั่นเอง
ขนาดของแมวเปอร์เซีย
แมวเปอร์เซียนั้นจะมีขนาดกลางถึงใหญ่ โดยเพศผู้จะมีน้ำหนักอยู่ราว 4 - 6 กิโลกรัม ส่วนเพศเมียจะมีน้ำหนักอยู่ราว 3-5 กิโลกรัม มีความยาวลำตัว 14 – 18 นิ้ว (ไม่รวมความยาวหาง) สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของแมวเปอร์เซีย นั้นจัดเป็นแมวที่มีโครงร่างกายที่แข็งแรง หัวกลม แก้มกลม มีดวงตาโตสวยงาม นอกจากนี้เราจะสามารถสังเกตได้ว่าแมวเปอร์เซียจะมีจุดเด่นตรง “จมูกหัก” ซึ่งเห็นได้ชัดเจน ถ้ามองจากด้านข้าง ก็จะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง หน้าตาของแมวเปอร์เซียที่พบได้มีหลายแบบ เช่น หน้าแบนสุดๆ แบบ Peke-face หรือเป็นลุคเก่าที่จะเห็นว่าใบหน้าแมวเปอร์เซียมีความกลมขึ้นมาอีกนิดแบบ Doll-face
แมวเปอร์เซีย หรือ Persian Cat คือหนึ่งในสายพันธุ์น้องแมวขนสวยยาวเงางาม และจัดเป็นหนึ่งในสิบสายพันธุ์แมว ที่ได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงมากที่สุดบนโลกสายพันธุ์หนึ่ง ด้วยขนที่สวย บวกกับความน่ารัก ความจงรักภักดีต่อเจ้าของ รักความสงบ ไม่ส่งเสียงดังเอะอะ และความฉลาดแสนรู้ของแมวเปอร์เซีย ทำให้น้องแมวสายพันธุ์นี้มัดใจให้หลายคนตกหลุมรักกันแบบถอนตัวไม่ขึ้น มาทำความรู้จักน้องแมวเปอร์เซีย กันให้มากอีกนิด แล้วคุณจะหลงรักน้องแมวเปอร์เซียยิ่งขึ้นไปอีก
ลักษณะเด่นของแมวเปอร์เซียอยู่ที่ตาที่โต กะโหลกกลม หน้าแบน แก้มแน่น และใบหูขนาดเล็กที่มีปลายมน ขนาดหัวที่ใหญ่ของแมวเปอร์เซียช่วยพยุงคอที่สั้น หลายคนอาจเคยสังเกตเห็นว่าแมวเปอร์เซียมีหน้าตาหลายแบบ เช่น หน้าแบนสุดๆ แบบ Peke-face หรือเป็นลุคเก่าที่จะเห็นว่าใบหน้าแมวเปอร์เซียมีความกลมขึ้นมาอีกนิดแบบ Doll-face ซึ่งอายุเฉลี่ยของแมวสายพันธุ์นี้อยู่ที่ 10 – 15 ปี มีความยาวลำตัว 14 – 18 นิ้ว (ไม่รวมความยาวหาง) น้ำหนักประมาณ 4 – 6 กิโลกรัม รูปร่างของแมวเปอร์เซียจะเป็นสัดส่วนของกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ ขาสั้น หนา และมีอุ้งเท้าขนาดใหญ่ หางแมวเปอร์เซียจัดว่าไม่ยาวมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนลำตัวของแมว
ลักษณะของขน และสีของแมวเปอร์เซีย
ขนของแมวเปอร์เซียจะมีความยาวและหนาฟู มีความมันวาว เป็นหนึ่งในสายพันธุ์แมวขนสวยเงางาม เส้นขนของแมวเปอร์เซียจะยาวตลอดทั้งลำตัว และมีขนฟูนุ่มน่าจับอยู่รอบๆ คอ มีขนเส้นเล็กแซมระหว่างขาหน้า ใบหู นิ้วเท้า และที่หาง
สีสันของแมวเปอร์เซียที่เรามักจะพบเห็นบ่อยจะเป็นสีขาว สีครีม สีแดง สีน้ำเงิน สีดำและสีช็อกโกแลต ส่วนสีตาก็จะเป็นสีเดียวกับสีขน นอกจากสีที่มีหลากหลายแล้ว ลวดลายก็มีหลายแบบเช่นกัน โดยอาจจะพบขนสีพื้นและแซมด้วยสีเงิน ทอง ดำ ทำให้เกิดเป็นเฉดสีและลายต่างๆ เช่น สีควันบุหรี่ ลายแบบแท็บบี้ สองสี เป็นต้น
แมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์ (American Shorthair)
แมวอเมริกันช็อตแฮร์ (American Shorthair) เป็นที่รู้จักเป็นอย่างยาก เลี้ยงง่าย และมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น เพื่อนแมวตัวนี้เป็นที่ต้องการอย่างมากของคนรักแมวทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในบทความนี้ เราจะสำรวจประวัติ อารมณ์ ลักษณะทางกายภาพ และข้อกำหนดในการดูแลของสายพันธุ์ที่สวยงามนี้
ต้นกำเนิดของอเมริกันชอร์ตแฮร์สามารถสืบย้อนไปถึงผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปในยุคแรกๆ เมื่อเวลาผ่านไป แมวเหล่านี้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่และผสมพันธุ์กัน พัฒนาเป็นอเมริกันช็อตแฮร์ที่เรารู้จักในปัจจุบัน แมวอเมริกันช็อตแฮร์ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นสายพันธุ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้กลายเป็นหนึ่งในสายพันธุ์แมวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ลักษณะทางกายภาพของอเมริกันช็อตแฮร์
แมวอเมริกันช็อตแฮร์มีโครงสร้างร่างกายที่แข็งแรงและมีกล้ามเนื้อ โดยมีขนาดลำตัวปานกลางถึงใหญ่ แมวเหล่านี้มีขาหนาและอุ้งเท้ากลมที่แข็งแรง ช่วยให้พวกมันเป็นนักล่าที่ว่องไว หน้าอกที่กว้างและไหล่ที่เต่งทำให้ดูมีพลัง หัวของ แมวอเมริกันช็อตแฮร์มีลักษณะกลมและยาวกว่าด้านกว้างเล็กน้อย โดยมีหูขนาดกลางที่ปลายมน ดวงตาที่โตและสื่ออารมณ์ของพวกมันเป็นรูปอัลมอนด์และมีหลายสี เช่น สีเขียว สีทอง หรือสีน้ำเงิน
สีขนและลวดลาย
คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของอเมริกันช็อตแฮร์คือสีขนและลวดลาย มีสีและลวดลายมากมาย ซึ่งรวมถึงสีทึบ ลายตาราง สีสองสี และอื่นๆ สีที่พบมากที่สุด ได้แก่ ดำ ขาว น้ำเงิน และน้ำตาล แท็บบี้สีเงินสุดคลาสสิก โดดเด่นด้วยขนสีเงินที่มีแต้มสีดำ บางทีอาจเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดาอเมริกันชอร์ตแฮร์
ขนาดน้ำหนักตัว
โดยทั่วไปแล้ว แมวอเมริกันช็อตแฮร์ เป็นแมวขนาดกลางและมี ราคา 3,000-40,000 บาท
- แมวอเมริกันช็อตแฮร์ตัวผู้ 4-6 กิโลกรัม
- แมวอเมริกันช็อตแฮร์ตัวเมีย 3-5 กิโลกรัม
การดูแลขนของแมวอเมริกันช็อตแฮร์
การบำรุงรักษาขนที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแมวอเมริกันช็อตแฮร์ของคุณ ขนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาผิวหนัง และการหลุดร่วงมากเกินไปอีกด้วย แม้ว่าขนของแมวอเมริกันช็อตแฮร์จะดูแลน้อยเมื่อเทียบกับพันธุ์ขนยาว แต่การดูแลขนอย่างสม่ำเสมอก็ยังจำเป็นเพื่อให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่สุด
การแปรงขนและกรูมมิ่ง
โดยทั่วไปแล้วการแปรงขนสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งก็เพียงพอที่จะรักษาสุขภาพและรูปลักษณ์ของมันได้ ใช้แปรงขนนุ่มหรือถุงมือยางเพื่อกำจัดขนที่หลวมอย่างเบามือและกระจายน้ำมันตามธรรมชาติให้ทั่วขนสิ่งนี้จะช่วยให้ขนเงางาม
ในช่วงฤดูผลัดขน คุณอาจต้องเพิ่มความถี่ในการแปรงขนเพื่อช่วยจัดการกับการผลัดขนที่เพิ่มขึ้น ควรแปรงอย่างอ่อนโยนและปฏิบัติตามทิศทางการเจริญเติบโตของขนเสมอเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้รู้สึกไม่สบาย
เคล็ดลับการบำรุงรักษาขนเพิ่มเติม
- ตรวจดูหูของแมวเป็นประจำเพื่อหาสัญญาณของขี้แมว สิ่งสกปรก หรือการติดเชื้อ ทำความสะอาดอย่างเบามือด้วยสำลีก้อนหรือผ้านุ่มชุบน้ำยาทำความสะอาดหูที่ได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์
- ตัดเล็บแมวของคุณทุก 2-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการการขีดข่วน ควรใช้กรรไกรตัดเล็บสำหรับแมวโดยเฉพาะ
- ตรวจสอบสุขภาพผิวหนังและขนโดยรวมของแมว เช่น การหลุดร่วงมากเกินไป จุดล้าน หรือการระคายเคืองผิวหนัง อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพพื้นฐานที่ต้องได้รับการดูแลจากสัตวแพทย์
การเลี้ยงและดูแลอเมริกันช็อตแฮร์
การบำรุงรักษาขนที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแมวอเมริกันช็อตแฮร์ของคุณ ขนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันปัญหาผิวหนัง และการหลุดร่วงมากเกินไปอีกด้วย แม้ว่าขนของแมวอเมริกันช็อตแฮร์จะดูแลน้อยเมื่อเทียบกับพันธุ์ขนยาว แต่การดูแลขนอย่างสม่ำเสมอก็ยังจำเป็นเพื่อให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่สุด
การแปรงขนและกรูมมิ่ง
โดยทั่วไปแล้วการแปรงขนสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งก็เพียงพอที่จะรักษาสุขภาพและรูปลักษณ์ของมันได้ ใช้แปรงขนนุ่มหรือถุงมือยางเพื่อกำจัดขนที่หลวมอย่างเบามือและกระจายน้ำมันตามธรรมชาติให้ทั่วขนสิ่งนี้จะช่วยให้ขนเงางาม
ในช่วงฤดูผลัดขน คุณอาจต้องเพิ่มความถี่ในการแปรงขนเพื่อช่วยจัดการกับการผลัดขนที่เพิ่มขึ้น ควรแปรงอย่างอ่อนโยนและปฏิบัติตามทิศทางการเจริญเติบโตของขนเสมอเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้รู้สึกไม่สบาย
เคล็ดลับการบำรุงรักษาขนเพิ่มเติม
- ตรวจดูหูของแมวเป็นประจำเพื่อหาสัญญาณของขี้แมว สิ่งสกปรก หรือการติดเชื้อ ทำความสะอาดอย่างเบามือด้วยสำลีก้อนหรือผ้านุ่มชุบน้ำยาทำความสะอาดหูที่ได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์
- ตัดเล็บแมวของคุณทุก 2-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการการขีดข่วน ควรใช้กรรไกรตัดเล็บสำหรับแมวโดยเฉพาะ
- ตรวจสอบสุขภาพผิวหนังและขนโดยรวมของแมว เช่น การหลุดร่วงมากเกินไป จุดล้าน หรือการระคายเคืองผิวหนัง อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพพื้นฐานที่ต้องได้รับการดูแลจากสัตวแพทย์
การเลี้ยงและดูแลอเมริกันช็อตแฮร์
อารมณ์และพฤติกรรม
แมวอเมริกันชอร์ตแฮร์เป็นที่รู้จักจากนิสัยที่เป็นมิตรและเข้ากับคนง่าย แมวเหล่าเป็นแมวที่น่ารัก เข้ากับคนง่าย และปรับตัวได้ พวกเขาชอบใช้เวลากับเพื่อนมนุษย์และมักจะค่อนข้างอดทน ทำให้พวกมันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัวที่มีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ
อเมริกันช็อตแฮร์ไม่ได้เรียกร้องความสนใจมากเกินไป แต่พวกมันชอบการมีปฏิสัมพันธ์และเวลาเล่นอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาสามารถมีความกระตือรือร้นและอยากรู้อยากเห็นในระดับปานกลาง
ความสัมพันธ์กับเจ้าของ
พวกมันเป็นที่รู้จักจากการสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสมาชิกครอบครัวของมนุษย์ พวกเขาสนุกกับการใช้เวลากับเจ้าของ แมวเหล่านี้ซื่อสัตย์และมักจะติดตามเจ้าของไปรอบๆ บ้าน ธรรมชาติที่เป็นมิตรและปรับตัวได้ทำให้พวกมันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับเจ้าของแมวเป็นครั้งแรก รวมถึงเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มีประสบการณ์
ปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงตัวอื่น
ลักษณะที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของ แมวอเมริกันชอร์ตแฮร์ คือความสามารถในการเข้ากับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นได้ดี โดยทั่วไปแล้วพวกมันจะไม่ก้าวร้าวและสามารถอยู่ร่วมกับแมว สุนัข และสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ เช่น กระต่ายหรือนกตัวอื่นได้อย่างกลมกลืน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องแนะนำสัตว์เลี้ยงใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไปและอยู่ภายใต้การดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น
ความฉลาดและความสามารถในการฝึกอบรม
แมวอเมริกันชอร์ตแฮร์เป็นแมวที่ฉลาด ซึ่งทำให้ฝึกได้ง่ายเมื่อเทียบกับแมวสายพันธุ์อื่นๆ พวกเขาสามารถเรียนรู้เคล็ดลับต่างๆ เช่น “นั่ง” หรือ “ขอมือ” การให้ชมเชยเป็นรางวัลสำหรับแมวอเมริกันชอร์ตแฮร์ คุณสามารถให้ขนมแมวเป็นรางวัลสำหรับพวกมัน และการฝึกช่วยกระตุ้นให้อเมริกันช็อตแฮร์กระชับสายสัมพันธ์ของคุณกับพวกเขาได้
ข้อดีข้อเสียอเมริกันช็อตแฮร์
การเลี้ยงแมวอเมริกันช็อตแฮร์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่นี่เราได้แสดงรายการข้อดีและข้อเสียที่พบบ่อยที่สุดเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจว่าสายพันธุ์นี้เหมาะกับคุณหรือไม่
ข้อดี
- อเมริกันชอร์ตแฮร์เป็นที่รู้จักจากนิสัยสบายๆ ทำให้เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับครอบครัว คนโสด และผู้สูงอายุ โดยทั่วไปแล้วพวกมันจะเข้ากับเด็กได้ดีและสามารถเข้ากับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ได้ดีเมื่อได้รับการแนะนำอย่างเหมาะสม
- ขนสั้นและหนาแน่นของอเมริกันชอร์ตแฮร์ต้องการการแปรงขนเพียงเล็กน้อย จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบแมวแบบไม่ต้องดูแลมาก
- โดยทั่วไปแล้วอเมริกันชอร์ตแฮร์เป็นสายพันธุ์ที่มีสุขภาพดี โดยมีอายุขัยประมาณ 15-20 ปีเมื่อได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเพลิดเพลินกับสายสัมพันธ์ที่ยาวนานกับเพื่อนแมวของคุณ
- แมวเหล่านี้ไม่กระฉับกระเฉงมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ชอบสัตว์เลี้ยงที่ผ่อนคลายมากกว่า พวกเขายังคงสนุกกับเวลาเล่นและเกมแบบอินเทอร์แอกทีฟ แต่โดยทั่วไปก็พอใจที่จะนั่งเล่นรอบๆ บ้านเช่นกัน
- ความฉลาดและความสามารถในการฝึก อเมริกันช็อตแฮร์เป็นแมวที่ฉลาด ซึ่งทำให้ฝึกได้ง่าย
ข้อเสีย
- มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วน อเมริกันชอร์ตแฮร์มีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องควบคุมอาหารและการออกกำลังกายของพวกมัน สามารถช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนได้
- อ่อนแอต่อปัญหาสุขภาพบางอย่าง แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วพวกมันจะมีสุขภาพดี แต่อเมริกันชอร์ตแฮร์อาจมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (HCM) และปัญหาเกี่ยวกับฟัน การดูแลสัตวแพทย์เป็นประจำและการตรวจพบในระยะแรกสามารถช่วยจัดการกับอาการเหล่านี้ได้
- ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หากคุณหรือคนในครอบครัวของคุณมีอาการแพ้แมว อเมริกันช็อตแฮร์อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากไม่ถือว่าแพ้ง่าย
- อาจต้องใช้ความอดทนในการฝึก แม้ว่าพวกมันจะฉลาดและฝึกได้ แต่ก็ไม่ใช่อเมริกันช็อตแฮร์ทุกตัวที่จะตอบสนองต่อความพยายามในการฝึก
บทสรุป
อเมริกันชอร์ตแฮร์เป็นสายพันธุ์แมวที่ได้รับความนิยมและมีเสน่ห์ซึ่งดึงดูดผู้เลี้ยงแมวหลายๆ คน เนื่องจากนิสัยที่เป็นมิตร ขนที่ไม่ต้องดูแลรักษามาก และความสามารถในการปรับตัว ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการฝึก และความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงและเด็กอื่นๆ ทำให้พวกมันเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับครอบครัวและบุคคลทั่วไป
แม้ว่าพวกมันจะมีความกังวลเรื่องสุขภาพและมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วน การดูแล การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยให้อเมริกันช็อตแฮร์ของคุณมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีได้ ระดับกิจกรรมปานกลางและข้อกำหนดในการกรูมมิ่งขั้นต่ำทำให้พวกมันเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเพื่อนแมวแบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องมีการดูแลสูงเหมือนสายพันธุ์อื่น
แมวสกอตติชโฟลด์ (Scottish Fold)
ประวัติความเป็นมา
ถิ่นกำเนิด: สก็อตแลนด์
แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ ถือกำเนิดขึ้นในประเทศสก็อตแลนด์ มีลักษณะเด่นคือหูพับมาทางด้านหน้า จากนั้นก็เริ่มมีคนสนใจนำแมวที่มีลักษณะหูพับนี้ไปปรับปรุงพันธุ์จนกระทั่งในปี 1966 ก็ได้มีการตั้งชื่อแมวหูพับนี้ว่า สก๊อตทิช โฟลด์ เพื่อเป็นเกียรติให้กับสถานที่ที่กำเนิดแมวสายพันธุ์นี้เป็นครั้งแรก แม้ในยุคแรกน้องแมวสายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ ไม่เป็นที่ยอมรับนัก เพราะมีความเชื่อผิดๆ กันว่าลักษณะหูพับนี้อาจทำให้แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ มีปัญหาเกี่ยวกับรูหูตามมา แต่ในภายหลังก็ได้มีการศึกษาและได้ข้อสรุปว่า การที่แมวมีหูพับนั้นไม่ได้มีผลต่อสุขภาพหูของแมวพันธุ์นี้แต่อย่างใด นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในแมวที่มีคนนิยมเลี้ยงมากที่สุดในโลกอีกด้วย
ขนาดของแมวสก๊อตทิช โฟลด์
แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ จัดว่าเป็นแมวที่มีขนาดกลาง รูปร่างกะทัดรัด ลำตัวกลมมน โดยเพศเมียมีน้ำหนักอยู่ราว 2.7-4 กิโลกรัม ในขณะที่เพศผู้มีน้ำหนักสูงได้ถึง 5.8 กิโลกรัม สามารถพบได้ทั้งน้องแมวที่มีหูพับ และแบบที่มีหูตั้ง ใบหน้ากลม ตากลมโตน่ารัก จมูกสั้น แบน และโค้งเล็กน้อย มีคอสั้นเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่น
สก๊อตทิช โฟล์ด [Scottish fold]
อีกหนึ่งสายพันธุ์น้องแมวที่เป็นที่รู้จักมากไม่แพ้สายพันธุ์ไหนก็คือ สายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ [Scottish fold] ที่มีหูพับอันเป็นเอกลักษณ์แสนเก๋ที่ไม่เหมือนใคร หน้ากลมแป้น ขนอุยนุ่มน่ากอด ทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ น้องแมวผู้มาจากสก๊อตแลนด์ ยึดพื้นที่หัวใจเจ้าของหลายๆ คนไปแล้ว
แมวสายพันธุ์นี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 14 ปี ความสูงอยู่ที่ 10 – 12 นิ้ว ด้วยหูที่พบลงมา ทำให้ใบหน้าของสก๊อตทิช โฟลด์ ดูกลม จนหลายคนให้คำอธิบายแมวสายพันธุ์นี้ไว้อย่างเห็นภาพว่าเหมือนกับ นกฮูก โดยใบหูของสก๊อตทิช โฟลด์ จะมีทั้งแบบพับงอไปด้านหน้า เรียกว่า single fold แบบพับงอที่มากขึ้นหรือ double fold และแบบที่พับราบไปกับหัว หรือ triple fold โดยลูกแมวที่เกิดมาแล้วมีใบหูตั้งก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะใบหูของลูกแมวที่พับจะเริ่มมองเห็นเมื่อแมวมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์
สก๊อตทิช โฟล์ด [Scottish fold]
อีกหนึ่งสายพันธุ์น้องแมวที่เป็นที่รู้จักมากไม่แพ้สายพันธุ์ไหนก็คือ สายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ [Scottish fold] ที่มีหูพับอันเป็นเอกลักษณ์แสนเก๋ที่ไม่เหมือนใคร หน้ากลมแป้น ขนอุยนุ่มน่ากอด ทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ น้องแมวผู้มาจากสก๊อตแลนด์ ยึดพื้นที่หัวใจเจ้าของหลายๆ คนไปแล้ว
แมวสายพันธุ์นี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 14 ปี ความสูงอยู่ที่ 10 – 12 นิ้ว ด้วยหูที่พบลงมา ทำให้ใบหน้าของสก๊อตทิช โฟลด์ ดูกลม จนหลายคนให้คำอธิบายแมวสายพันธุ์นี้ไว้อย่างเห็นภาพว่าเหมือนกับ นกฮูก โดยใบหูของสก๊อตทิช โฟลด์ จะมีทั้งแบบพับงอไปด้านหน้า เรียกว่า single fold แบบพับงอที่มากขึ้นหรือ double fold และแบบที่พับราบไปกับหัว หรือ triple fold โดยลูกแมวที่เกิดมาแล้วมีใบหูตั้งก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะใบหูของลูกแมวที่พับจะเริ่มมองเห็นเมื่อแมวมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์
สก๊อตทิช โฟล์ด [Scottish fold]
อีกหนึ่งสายพันธุ์น้องแมวที่เป็นที่รู้จักมากไม่แพ้สายพันธุ์ไหนก็คือ สายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ [Scottish fold] ที่มีหูพับอันเป็นเอกลักษณ์แสนเก๋ที่ไม่เหมือนใคร หน้ากลมแป้น ขนอุยนุ่มน่ากอด ทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ น้องแมวผู้มาจากสก๊อตแลนด์ ยึดพื้นที่หัวใจเจ้าของหลายๆ คนไปแล้ว
แมวสายพันธุ์นี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 14 ปี ความสูงอยู่ที่ 10 – 12 นิ้ว ด้วยหูที่พบลงมา ทำให้ใบหน้าของสก๊อตทิช โฟลด์ ดูกลม จนหลายคนให้คำอธิบายแมวสายพันธุ์นี้ไว้อย่างเห็นภาพว่าเหมือนกับ นกฮูก โดยใบหูของสก๊อตทิช โฟลด์ จะมีทั้งแบบพับงอไปด้านหน้า เรียกว่า single fold แบบพับงอที่มากขึ้นหรือ double fold และแบบที่พับราบไปกับหัว หรือ triple fold โดยลูกแมวที่เกิดมาแล้วมีใบหูตั้งก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะใบหูของลูกแมวที่พับจะเริ่มมองเห็นเมื่อแมวมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์
สก๊อตทิช โฟล์ด [Scottish fold]
อีกหนึ่งสายพันธุ์น้องแมวที่เป็นที่รู้จักมากไม่แพ้สายพันธุ์ไหนก็คือ สายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ [Scottish fold] ที่มีหูพับอันเป็นเอกลักษณ์แสนเก๋ที่ไม่เหมือนใคร หน้ากลมแป้น ขนอุยนุ่มน่ากอด ทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ น้องแมวผู้มาจากสก๊อตแลนด์ ยึดพื้นที่หัวใจเจ้าของหลายๆ คนไปแล้ว
แมวสายพันธุ์นี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 14 ปี ความสูงอยู่ที่ 10 – 12 นิ้ว ด้วยหูที่พบลงมา ทำให้ใบหน้าของสก๊อตทิช โฟลด์ ดูกลม จนหลายคนให้คำอธิบายแมวสายพันธุ์นี้ไว้อย่างเห็นภาพว่าเหมือนกับ นกฮูก โดยใบหูของสก๊อตทิช โฟลด์ จะมีทั้งแบบพับงอไปด้านหน้า เรียกว่า single fold แบบพับงอที่มากขึ้นหรือ double fold และแบบที่พับราบไปกับหัว หรือ triple fold โดยลูกแมวที่เกิดมาแล้วมีใบหูตั้งก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะใบหูของลูกแมวที่พับจะเริ่มมองเห็นเมื่อแมวมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์
สก๊อตทิช โฟล์ด [Scottish fold]
อีกหนึ่งสายพันธุ์น้องแมวที่เป็นที่รู้จักมากไม่แพ้สายพันธุ์ไหนก็คือ สายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ [Scottish fold] ที่มีหูพับอันเป็นเอกลักษณ์แสนเก๋ที่ไม่เหมือนใคร หน้ากลมแป้น ขนอุยนุ่มน่ากอด ทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ น้องแมวผู้มาจากสก๊อตแลนด์ ยึดพื้นที่หัวใจเจ้าของหลายๆ คนไปแล้ว
แมวสายพันธุ์นี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 14 ปี ความสูงอยู่ที่ 10 – 12 นิ้ว ด้วยหูที่พบลงมา ทำให้ใบหน้าของสก๊อตทิช โฟลด์ ดูกลม จนหลายคนให้คำอธิบายแมวสายพันธุ์นี้ไว้อย่างเห็นภาพว่าเหมือนกับ นกฮูก โดยใบหูของสก๊อตทิช โฟลด์ จะมีทั้งแบบพับงอไปด้านหน้า เรียกว่า single fold แบบพับงอที่มากขึ้นหรือ double fold และแบบที่พับราบไปกับหัว หรือ triple fold โดยลูกแมวที่เกิดมาแล้วมีใบหูตั้งก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะใบหูของลูกแมวที่พับจะเริ่มมองเห็นเมื่อแมวมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์
แม้ว่าแมวสายพันธุ์นี้จะมีใบหูพับ แต่ว่าใบหูของแมวก็ทำงานเพื่อการสื่อสารได้เต็มประสิทธิภาพไม่ต่างจากแมวสายพันธุ์อื่น นอกจากนี้ความฉลาดของสก๊อตทิช โฟลด์ ก็ไม่เป็นรองใคร ทำให้แมวสายพันธุ์นี้ชอบเล่นของเล่นที่ท้าทายความสามารถ ใครที่เลี้ยงสก๊อตติช โฟลด์ อยู่และอยากหากิจกรรมเล่นกับแมวว่ากิจกรรมไหนที่ทำให้สก๊อตติช โฟลด์ ปลื้ม เราก็ขอบอกเลยตรงนี้ว่ากิจกรรมที่สก๊อตติช โฟลด์ โปรดปรานที่สุด ก็คือการเล่นกับเจ้าของนั่นเอง เพราะ สก๊อตติช โฟลด์ จัดว่าเป็นแมวที่ชอบอยู่กับคนมากๆ และต้องการมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมที่คุณทำ ต้องการการสนอกสนใจ ถ้าเป็นไปได้จะไม่เลือกอยู่เหงาๆ เงียบๆ ตัวเดียวอย่างเด็ดขาด มีน้องแมวตัวอื่นเป็นเพื่อนซักหน่อยก็ยังดี
เมื่อเจ้าของกลับมาบ้าน สก๊อตติช โฟลด์ จะคาดหวังว่าเจ้าของจะมาเล่นด้วย หรือน้อยที่สุดแค่ขอมานอนอยู่ที่ปลายเท้า หรือนอนกลิ้งอยู่กับเจ้าของยามนั่งดูทีวี เท่านี้สก๊อตทิช โฟลด์ ก็พอใจแล้ว
แมวบริติช ชอร์ตแฮร์ (British Shorthair)
ประวัติความเป็นมา
ถิ่นกำเนิด: สก็อตแลนด์
แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ ถือกำเนิดขึ้นในประเทศสก็อตแลนด์ มีลักษณะเด่นคือหูพับมาทางด้านหน้า จากนั้นก็เริ่มมีคนสนใจนำแมวที่มีลักษณะหูพับนี้ไปปรับปรุงพันธุ์จนกระทั่งในปี 1966 ก็ได้มีการตั้งชื่อแมวหูพับนี้ว่า สก๊อตทิช โฟลด์ เพื่อเป็นเกียรติให้กับสถานที่ที่กำเนิดแมวสายพันธุ์นี้เป็นครั้งแรก แม้ในยุคแรกน้องแมวสายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ ไม่เป็นที่ยอมรับนัก เพราะมีความเชื่อผิดๆ กันว่าลักษณะหูพับนี้อาจทำให้แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ มีปัญหาเกี่ยวกับรูหูตามมา แต่ในภายหลังก็ได้มีการศึกษาและได้ข้อสรุปว่า การที่แมวมีหูพับนั้นไม่ได้มีผลต่อสุขภาพหูของแมวพันธุ์นี้แต่อย่างใด นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในแมวที่มีคนนิยมเลี้ยงมากที่สุดในโลกอีกด้วย
ขนาดของแมวสก๊อตทิช โฟลด์
แมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ จัดว่าเป็นแมวที่มีขนาดกลาง รูปร่างกะทัดรัด ลำตัวกลมมน โดยเพศเมียมีน้ำหนักอยู่ราว 2.7-4 กิโลกรัม ในขณะที่เพศผู้มีน้ำหนักสูงได้ถึง 5.8 กิโลกรัม สามารถพบได้ทั้งน้องแมวที่มีหูพับ และแบบที่มีหูตั้ง ใบหน้ากลม ตากลมโตน่ารัก จมูกสั้น แบน และโค้งเล็กน้อย มีคอสั้นเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่น
สก๊อตทิช โฟล์ด [Scottish fold]
อีกหนึ่งสายพันธุ์น้องแมวที่เป็นที่รู้จักมากไม่แพ้สายพันธุ์ไหนก็คือ สายพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ [Scottish fold] ที่มีหูพับอันเป็นเอกลักษณ์แสนเก๋ที่ไม่เหมือนใคร หน้ากลมแป้น ขนอุยนุ่มน่ากอด ทำให้น้องแมวพันธุ์สก๊อตทิช โฟลด์ น้องแมวผู้มาจากสก๊อตแลนด์ ยึดพื้นที่หัวใจเจ้าของหลายๆ คนไปแล้ว
แมวสายพันธุ์นี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 11 – 14 ปี ความสูงอยู่ที่ 10 – 12 นิ้ว ด้วยหูที่พบลงมา ทำให้ใบหน้าของสก๊อตทิช โฟลด์ ดูกลม จนหลายคนให้คำอธิบายแมวสายพันธุ์นี้ไว้อย่างเห็นภาพว่าเหมือนกับ นกฮูก โดยใบหูของสก๊อตทิช โฟลด์ จะมีทั้งแบบพับงอไปด้านหน้า เรียกว่า single fold แบบพับงอที่มากขึ้นหรือ double fold และแบบที่พับราบไปกับหัว หรือ triple fold โดยลูกแมวที่เกิดมาแล้วมีใบหูตั้งก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะใบหูของลูกแมวที่พับจะเริ่มมองเห็นเมื่อแมวมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์
แม้ว่าแมวสายพันธุ์นี้จะมีใบหูพับ แต่ว่าใบหูของแมวก็ทำงานเพื่อการสื่อสารได้เต็มประสิทธิภาพไม่ต่างจากแมวสายพันธุ์อื่น นอกจากนี้ความฉลาดของสก๊อตทิช โฟลด์ ก็ไม่เป็นรองใคร ทำให้แมวสายพันธุ์นี้ชอบเล่นของเล่นที่ท้าทายความสามารถ ใครที่เลี้ยงสก๊อตติช โฟลด์ อยู่และอยากหากิจกรรมเล่นกับแมวว่ากิจกรรมไหนที่ทำให้สก๊อตติช โฟลด์ ปลื้ม เราก็ขอบอกเลยตรงนี้ว่ากิจกรรมที่สก๊อตติช โฟลด์ โปรดปรานที่สุด ก็คือการเล่นกับเจ้าของนั่นเอง เพราะ สก๊อตติช โฟลด์ จัดว่าเป็นแมวที่ชอบอยู่กับคนมากๆ และต้องการมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมที่คุณทำ ต้องการการสนอกสนใจ ถ้าเป็นไปได้จะไม่เลือกอยู่เหงาๆ เงียบๆ ตัวเดียวอย่างเด็ดขาด มีน้องแมวตัวอื่นเป็นเพื่อนซักหน่อยก็ยังดี
เมื่อเจ้าของกลับมาบ้าน สก๊อตติช โฟลด์ จะคาดหวังว่าเจ้าของจะมาเล่นด้วย หรือน้อยที่สุดแค่ขอมานอนอยู่ที่ปลายเท้า หรือนอนกลิ้งอยู่กับเจ้าของยามนั่งดูทีวี เท่านี้สก๊อตทิช โฟลด์ ก็พอใจแล้ว
แมวเมนคูน (Main Coon)
ประวัติและถิ่นกำเนิด
ประเทศต้นกำเนิด: สหรัฐอเมริกา
บรรพบุรุษของแมวเมนคูนเป็นแมวขนยาวที่ถูกนำเข้าไปรัฐเมนโดยชาวเรือในช่วงทศวรรษ 1850 หลังจากนั้นได้ผสมพันธุ์กับแมวพื้นถิ่นขนสั้น ลูกที่ออกมาตัวใหญ่ รูปร่างแข็งแรง มีขนยาวปานกลาง มีหางยาวเป็นพวงคล้ายหางแร็คคูน จึงเป็นที่มาของชื่อพันธุ์ “เมนคูน” นั่นเอง แมวพันธุ์นี้ได้ปรับตัวให้มีขนที่หนาขึ้นเพื่อให้ทนกับอากาศที่หนาวเย็นของรัฐเมนได้ ในช่วงต้นทศววรรษ 1860 ได้มีการจัดแสดงแมวเมนคูนครั้งพิเศษ ทำให้แมวพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักและนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ช่วงทศวรรษ 1980 ได้มีผู้นำแมวพันธุ์นี้เข้าไปยังสหราชอาณาจักร
แมวเมนคูนเป็นสายพันธุ์แมวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รูปร่างแข็งแรงกำยาและขาแข็งแรง หัวทรงเหลี่ยม ใบหูใหญ่และตั้งตรง ขนด้านนอกมีลักษณะยาวหนาเป็นมันและกันน้ำได้ดี มีขนชั้นในซ่อนอยู่ข้างใต้ ส่วนขนที่หัว คอและไหล่จะสั้นกว่าจุดอื่นแต่จะค่อย ๆ ยาวขึ้นเรื่อย ๆ บริเวณส่วนหลัง ข้างลำตัวและหาง ส่วนท้องกับสะโพกมีขนดกและหนา ที่โคนหูจะมีขนยาวเป็นพู่งามสง่า โดยแมวเมนคูนเพศผู้จะมีขนส่วนนี้หนากว่าเพศเมีย ส่วนขนที่หางจะยาวนุ่มสลวย บริเวณปลายหูจะมีขนยาวแซมออกมา เช่นเดียวกับบริเวณอุ้งเท้า มองผ่าน ๆ เหมือนใส่รองเท้าขนฟูหุ้มอีกชั้น แมวเมนคูนเป็นแมวสายพันธุ์ที่เพาะเลี้ยงออกมาได้หลายสี มากกว่า 30 สีเลยทีเดียว ส่วนสีตาอาจมีสีเขียว ทองหรือทองแดง แต่ถ้าแมวสีขาวอาจมีตาสีฟ้าหรือตาสองสีก็ได้
แมวอเมริกันเคิร์ล (American Curl)
อเมริกันเคิร์ล (อังกฤษ: American Curl) เป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งที่มีใบหูมีลักษณะพิเศษซึ่งงอจากใบหน้าไปทางกึ่งกลางของกะโหลกศีรษะด้านหลัง แมวสายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในเมืองเลควูด รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผลมาจากการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเอง[1]
ประวัติ
แมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลตัวแรกปรากฏตัวในฐานะแมวจรจัดอยู่ที่บันไดหน้าประตูของตระกูลรูกัสในเมืองเลควูด รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524[2] แมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลตัวเมียสีดำชื่อชูลามิท (Shulamith) ให้กำเนิดแมวหลายครอกที่มีหูงอแบบเดียวกัน และกลายเป็นบรรพบุรุษของอเมริกันเคิร์ลทั้งหมดในปัจจุบัน[2][3][4] ในปี พ.ศ. 2539 แมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลได้รับการจัดแสดงในงานแสดงแมวเป็นครั้งแรก และในปี พ.ศ. 2535 แมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลขนยาวได้รับสถานะผู้ชนะเลิศจากสมาคมแมวนานาชาติ (The International Cat Association; TICA) ในปี พ.ศ. 2542 แมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลกลายเป็นสายพันธุ์แรกที่ได้เข้าร่วมในการจัดอันดับแมวชนะเลิศของสมาคมคนรักแมว (Cat Fanciers' Association; CFA) ทั้งในประเภทขนยาวและขนสั้น [5]
มวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลเป็นแมวขนาดกลาง มีน้ำหนัก 2.3-4.5 กิโลกรัม (5–10 ปอนด์) และโตเต็มที่เมื่ออายุ 2-3 ปี เพศเมียมีน้ำหนักระหว่าง 2.3-3.6 กิโลกรัม (5–8 ปอนด์) และเพศผู้มีน้ำหนักระหว่าง 3.2-4.5 กิโลกรัม (7–10 ปอนด์)[6]
ลูกแมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลเกิดมามีหูตั้งตรง ซึ่งจะเริ่มงอภายใน 48 ชั่วโมง หลังจากอายุสี่เดือนหูจะไม่งอไปมากกว่านี้ และจะมีความแข็งเมื่อสัมผัสที่ฐานของหู ส่วนปลายหูมีความยืดหยุ่น แมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลที่มีคุณภาพในฐานะสัตว์เลี้ยงอาจมีหูเกือบตั้งตรง แต่แมวที่นำมาจัดแสดงจะต้องมีหูที่งอระหว่าง 90 ถึง 180 องศา มุมที่ดีคือ 90 องศา แต่แมวจะถูกตัดสิทธิ์หากหูสัมผัสกับด้านหลังกระโหลก
แมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลทั้งชนิดขนยาวและขนสั้นมีขนที่นุ่มดุจผ้าแพรไหมซึ่งวางราบไปกับลำตัว[3] แมวพันธุ์นี้ต้องการการดูแลเพียงเล็กน้อยและสนุกกับการใช้เวลากับเจ้าของ
แมวพันธุ์อเมริกันเคิร์ลแม้ว่าจะเป็นสายพันธุ์ที่หายาก แต่พบได้ทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกา สเปน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น รัสเซีย และอีกหลายประเทศ
แมวแร็กดอลล์ (Ragdoll)
แมวแร็กดอลล์ – ลักษณะสายพันธุ์ และการดูแล
ประวัติสายพันธุ์ แมวแร็กดอลล์
แมวแร็กดอลล์ (Ragdoll) ได้กำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงปี 1960 โดยบรีดเดอร์หรือผู้พัฒนาพันธุ์ที่ชื่อว่า Ann Baker ในเมืองริเวอร์ไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยเธอได้เลือกแมวชื่อ โจเซฟิน (Josephine) ซึ่งเป็นแมวบ้านขนยาว สีขาว ผวมกับแมวอีกตัวหนึ่ง ที่มีบุคลิกอ่อนโยน สงบ ตัวใหญ่ ขนยาวสวยงาม โดดเด่นด้วยลายแบบหิมาลายัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่พบเห็นได้ในแมว สายพันธุ์สยาม (Siamese)ผลลัพธ์ที่ได้คือ แร็กดอลล์ (Ragdoll) ที่มีหน้าตาเหมือนตุ๊กตาผ้าและมีนิสัยชอบกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขในอ้อมแขนของคนที่อุ้มมันขึ้นมา
จากนั้น เมื่อปี 1975 มีการก่อตั้ง Ragdoll Fanciers Club International (RFCI) ขึ้นมา มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานสายพันธุ์แร็กดอลล์ และได้รับการยอมรับจากสำนักทะเบียนแมว
จนกระทั่งในปี 1993 Cat Fanciers’ Association (CFA) ได้เริ่มขึ้นทะเบียนแมวสายพันธุ์แร็กดอลล์ และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในปี 2000
ปัจจุบัน องค์กรทะเบียนแมว ส่วนใหญ่ได้ยอมแมวรับสายพันธุ์นี้ ไม่ว่าจะเป็น American Cat Fanciers Association (ACFA) , The International Ragdoll Cat Association (IRCA) , Fédération Internationale Féline (FIFe) และ The International Cat Association (TICA)
ลักษณะทางกายภาพ
แมวสายพันธุ์แร็กดอลล์ เป็นหนึ่งในแมวบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ลำตัวยาว มีกระดูกหนา ศีรษะมีขนาดกลาง แต่ขนที่หนาฟู ทำให้ดูเหมือนว่าแมวพันธุ์นี้มีศีรษะขนาดใหญ่ หูตั้ง เฉียงออกจากศีรษะ
ถ้าเราลองมองใบหน้าของเจ้าเหมียวจะมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม หางยาว ขนฟู ส่วนดวงตามีลักษณะเป็นรูปไข่ สีฟ้าเป็นประกาย (blue-eyed pointed) ซึ่งเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของแมวสายพันธุ์นี้
ขนมีลักษณะหนานุ่ม ปุย ฟู ขนชั้นในบาง ลำตัวมีสีอ่อน บริเวณคอจะมีขนยาว มีขน 4 แบบด้วยกัน คือ bi-color, van, mitted และ pointed และสีขนมี 8 สี ได้แก่ seal, blue, chocolate, lilac, red, cream, fawn และ cinnamon
บางตัวสามารถมีแต้มสีบนใบหน้า หน้าขาและหาง ซึ่งเข้มกว่าบริเวณอื่นๆ แบบแมวพันธุ์สยาม (Siamese) หรือแมวพันธุ์หิมาลายัน (Himalayan) ได้อีกด้วย จุดเด่นอีกประการหนึ่งของแมวพันธุ์แร็กดอลล์ คือ บริเวณรอบๆอุ้งเท้าและขาส่วนปลายจะมีสีขาวคล้ายว่าสวมถุงเท้าอยู่ ทาให้มีลักษณะเหมือนตุ๊กตาผ้า
แมวสายพันธุ์แร็กดอลล์ เมื่อโตเต็มวัยจะมีส่วนสูงประมาณ 9 – 11 นิ้ว และมีลำตัวยาวจากปลายจมูกถึงก้น 17 – 21 นิ้ว ไม่รวมหาง อ้างอิงจาก Cat Fanciers’ Association (CFA)
นheหนักของแมวพันธุ์นี้ เพศเมียโตเต็มวัยมีน้ำหนักประมาณ 3 – 7 กิโลกรัม และเพศผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักประมาณ 5 – 9 กิโลกรัม
อายุขัย
สาหรับแมวแร็กดอลล์ โดยทั่วไปจะมีอายุขัยอยู่ที่ประมาณ 12-17 ปี
ลักษณะนิสัย
แมวสายพันธุ์แร็กดอลล์ มีนิสัยไม่เหมือนแมวในสายพันธุ์อื่น ๆ คือเป็นแมวที่มีนิสัยขี้อ้อน เวลาใครมาอุ้ม จะทาตัวอ่อนปวกเปียก เหมือนแมวไร้กระดูก ไม่ดุร้าย ว่านอนสอนง่าย ขี้เล่น รักสงบ พลังงานน้อย ร้องเสียงเบา มีความอดทนสูง ชอบให้เกาท้อง และชอบเดินตามหรือนอนกับเจ้าของ
การเข้ากับเด็ก
แมวสายพันธุ์แร็กดอลล์ เป็นที่แนะนำมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่งสำหรับการเลี้ยงกับเด็ก เนื่องจากลักษณะนิสัยที่ขี้อ้อน อ่อนโยน และมีความอดทนสูง ทำให้สามารถเข้ากับคนในครอบครัว และสัตว์อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
สิ่งสำคัญ คือควรสอนให้เด็ก ๆ อุ้ม และเล่นกับแมว อย่างถูกถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการทำร้ายแมว ที่ก่อให้เกิดนิสัยดุร้าย และหันกลับมาตอบโต้ด้วยการทำร้ายเด็ก ๆ
การดูแลเส้นขน
แม้ว่าขนของแมวพันธุ์แร็กดอลจะหนาและฟูเหมือนขนกระต่าย แต่ง่ายต่อการดูแล เนื่องจาก ขนชั้นในไม่หนาเหมือนแมวสายพันธุ์อื่น ทำให้มีขนตายน้อย และง่ายต่อการแปรงขน ส่วนที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือ เส้นขนบริเวณคอและหาง ที่มีเส้นขนยาวหนา และมักพันกันเป็นก้อน
แมวแร็กดอลล์มีฤดูกาลผลัดขนช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ดังนั้น เจ้าของควรแปรงขนทุกวันในช่วงนี้ เพื่อกำจัดขนตายที่หลุดร่วง และป้องกันไม่ให้ขนพันกันเป็นก้อน สำหรับช่วงเวลาที่ไม่ผลัดขน เจ้าของสามารถอาบน้ำให้เดือนละครั้ง และควรใช้หวีแปรงขน 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์
การออกกำลังกาย
แมวพันธุ์แร็กดอลล์ มีนิสัยขี้อ้อน พลังงานน้อย และเป็นแมวขี้เล่นที่จะสนุกกับการมีของเล่น ไม่ชอบปีนป่ายในที่สูง ดังนั้น เจ้าของควรมีของเล่นแมว เช่น กล่องฝนเล็บ ไม้ตกแมว อุโมงค์แมว หรือคอนโดแมว ที่ไม่สูงจากพื้นมาก และใช้เวลาเล่นกับพวกเขาบ่อย ๆ เพื่อป้องกันความเครียด และให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย
อาหารและโภชนาการ
อาหารของแมวแร็กดอลล์ (Ragdoll) ควรประกอบด้วย 2 อย่างเป็นหลัก ได้แก่ อาหารเปียกและอาหารแห้ง ซึ่งสำคัญต่อการส่งเสริมให้แมวมีสุขภาพดี โดยสัดส่วนของสารอาหารที่ควรได้รับ คือ โปรตีนร้อยละ 60 ไขมันร้อยละ 30 และคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 10
เนื่องจากเแมวพันธุ์แร็กดอลล์ เป็นแมวที่มีขนาดใหญ่ จึงต้องการโปรตีนในการบำรุงรักษาร่างกายมากกว่าแมวสายพันธุ์อื่น ๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องให้อาหารเปียกที่มีส่วนประกอบของเนื้อธรรมชาติที่ไม่ใช่เนื้อแปรรูป และเป็นอาหารที่มีตัวเลือกของโปรตีนมากที่สุด โดยปริมาณโปรตีนที่แนะนำ คือ 20 – 40 กรัมต่อวัน ซึ่งปกติแล้วพวกเขาจะได้รับจากอาหารเปียกกระป๋องหนึ่งกระป๋อง
นอกจากนี้ การเลือกให้อาหารที่มีส่วนประกอบจากอาหารทะเล เนื้อไก่ หรือเนื้อวัว แต่ละอย่างควรมีปริมาณโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการสาหรับแมวสายพันธุ์นี้ด้วย
อาหารแห้ง มักจะอยู่ในรูปของอาหารเม็ด และประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของจะต้องให้อาหารแห้งในปริมาณที่เหมาะสม และควรพิจารณาว่า อาหารแห้งที่กำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตไม่สูงเกินไป เพราะอาจทำให้แมวมีนำหนักเพิ่มขึ้น และกลายเป็นโรคอ้วนได้
ทุกครั้งที่แมวกินอาหาร น้ำก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน แมวพันธุ์แร็กดอลล์ มักมีปัญหาเกี่ยวกับไต และทางเดินปัสสาวะ เจ้าของควรวางชามน้ำสะอาดให้แมวสามารถมากินได้ตลอดทังวัน นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มขนมขัดฟันลงในส่วนผสมทุก ๆ 2 – 3 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคราบหินปูนบนฟันของพวกเขาได้ด้วย
โรคประจำสายพันธุ์
โรคระบบหมุนเวียนโลหิตและหัวใจ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ (hypertrophic cardiomyopathy)
โรคระบบทางเดินอาหารและตับ
- โรคทางเดินอาหารอักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease หรือ IBD)
- ภาวะก้อนขนอุดตันทางเดินอาหาร (Hairball)
โรคระบบทางเดินปัสสาวะและไต
- โรคนิ่วแคลเซียมออกซาเลตในกระเพาะปัสสาวะ (Calcium oxalate bladder stone)
- โรคนิ่วทางเดินปัสสาวะ (Cystinuria) – ไตวายแบบเรื้อรัง (Chronic renal failure)
- โรคทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ (Urinary tract infections หรือ UTIs)
- โรคถุงน้าในไต (Polycystic Kidney Disease) โรคระบบต่อมไร้ท่อ
- โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus (DM)
โรคระบบโครงกระดูก ข้อต่อ และโครงสร้าง
- ข้ออักเสบ (Arthritis)
โรคตา
- โรคต้อกระจก (Cataract)
สถิติเยี่ยมชม
243