กิจกรรม

วาฬ 52Hz ประวัติที่มาเป็นอย่างไร

วาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตามธรรมชาติจะอาศัยรวมกันเป็นฝูง และสื่อสารกันผ่านคลื่นเสียง โดยทั่วไปวาฬจะสื่อสารกันด้วยคลื่นเสียงความถี่เพียง 12-52 Hz เท่านั้น

วาฬ 52Hz คือ วาฬที่อยู่อย่างเพียงลำพังในมหาสมุทร โดยวาฬ 52Hz ปรากฏตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1989 เมื่อทีมงานสถาบันสมุทรศาสตร์วูดโฮล ได้พบคลื่นเสียงความถี่ 52Hz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่สูง จึงได้ออกสำรวจและพบเสียงดังกล่าวอีกครั้งในปีต่อมา

ค.ศ. 1992 เรือดำน้ำของประเทศสหรัฐอเมริกาได้พบคลื่นเสียงความถี่สูงแบบเดียวกันจากเครื่องมือที่ใช้ติดตามเรือดำน้ำของโซเวียต ในช่วงแรกทางกองทัพคิดว่าเป็นกลยุทธ์ของฝั่งศัตรู แต่เมื่อศึกษาร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล พบว่าเจ้าของเสียงนี้คือ วาฬบาลีนขนาดใหญ่ 

จากการศึกษาเพิ่มเติม วาฬตัวนี้อาศัยอยู่เพียงลำพัง เนื่องจากระดับความถี่เสียงสูงกว่าปกติ ทำให้ไม่สื่อสารกับวาฬหรือฝูงตัวอื่นๆ ได้ โดยเชื่อว่าเป็นเพราะวาฬ 52Hz เป็นวาฬลูกผสมของวาฬสีน้ำเงินและวาฬฟิน ทำให้ร่างกายอาจผิดแปลกไปจากสายพันธุ์อื่นๆ และส่งผลต่อการส่งคลื่นเสียง

วาฬ 52Hz ความหมายที่ซ่อนอยู่

วาฬ 52Hz กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเดี่ยว ถูกตีความหมายไปหลายรูปแบบ เช่น บางคนเลือกสักรูปวาฬ 52Hz รอยสักที่สื่อว่าวาฬตัวนี้จะไม่เหงาอีกต่อไป เนื่องจากมีลายสักวาฬ 52Hz เป็นเพื่อนอีกตัว หรือบางคนตีความในเชิงความรักไว้ว่า วาฬอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองอย่างเพียงลำพัง มนุษย์ก็สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองเช่นกัน จนกว่าจะเจอคลื่นความถี่หรือความรักที่เหมาะสมกับตัวเอง

 

จากวาฬผู้โดดเดี่ยวสู่แรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน

ไม่ว่าจะด้วยความเหงา หรือความเศร้า เมื่อได้ฟังเรื่องราวของวาฬ 52Hz ทำให้วาฬตัวนี้กลายที่เป็นที่พูดถึงและได้รับความสนใจจากทั่วโลก เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานอันน่าทึ่งอีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สารคดี The Loneliest Whale : The Search for 52 ของ Josh Zeman บทเพลง Whalien 52 ของวง BTS ศิลปิน K-Pop ชื่อดัง ภาพยนตร์วาฬ 52Hz หนังสือ และผลงานศิลปะอีกหลายชิ้น 

แม้ว่าเรื่องวาฬ 52Hz จะถูกค้นพบตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 แต่ปัจจุบันเรื่องราวของวาฬตัวนี้ ยังคงถูกพูดถึง สร้างแรงบันดาลใจ สะท้อนความหมายและข้อคิดดีๆ ไว้เสมอ

 ประวัติปลาแองเกลอร์

ปลาตกเบ็ด หรือ ปลาแองเกลอร์ (อังกฤษ: anglerfish) คือปลาทะเลลึกอยู่ในชั้นปลากระดูกแข็ง คำว่า แองเกลอร์ (Angler) นั้นมีความหมายว่า ผู้ตกปลา อันเป็นรูปแบบการล่าเหยื่อของมัน พวกมันมีสายพันธุ์มากกว่า 200 ชนิด สามารถพบได้ทั่วโลกบริเวณน้ำเขตร้อนตื้น ๆ บริเวณไหล่ทวีปจนถึงทะเลลึก

นอกจากจะมีติ่งเนื้อเรืองแสงที่คล้ายเบ็ดตกปลาไว้ใช้ในการล่อเหยื่อแล้วมันยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือกรณีเพศสัณฐานของปรสิตเพศชายที่จะรวมตัวกันกับตัวเมีย

วิวัฒนาการ

จากการศึกษาเกี่ยวกับยีนของปลาตกเบ็ดชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายในระยะเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่ต้นกำเนิดในยุดครีเทเชียสระหว่าง 130-100 ล้านปีก่อน

พวกมันมีการวิวัฒนาการให้มีรูปร่างแตกต่างจากปลาชนิดอื่นคือการเปลี่ยนแปลงครีบหน้าของมันให้มีลักษณะคล้ายเบ็ดตกปลาที่มีติ่งเนื้อไว้ใช้ในการล่อเหยือซึ่งการวิวัฒนาการมีมาตั้งแต่ยุคครีเทเชียสและยังคงรูปร่างเดิมแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน

พวกมันมีสีแตกต่างกันจากสีเทาเข้มถึงน้ำตาลเข้มปลาที่กินเนื้อเป็นอาหารเหล่านี้มีหัวขนาดมหึมาที่มีรูปร่างขนาดใหญ่มีปากเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวยาวเต็มไปด้วยฟันเขี้ยวด้านในเพื่อใช้ในการงับเหยือและมีติ่งเนื่อเรืองแสงที่คล้ายเบ็ดตกปลาซึ่งเอาไว้ใช่ในการล่อเหยือ ความยาวของพวกมันมีความยาวประมาณ 20 ซม. (8.0 นิ้ว) ถึง 1 เมตร (3 ฟุต) น้ำหนัก 45 กิโลกรัม (100 ปอนด์)

       ประวัติเต่ากระ

หรือ เต่าปากเหยี่ยว

เต่ากระ หรือ เต่าปากเหยี่ยว (Eretmochelys imbricata) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลังชั้นสัตว์เลื้อยคลาน และเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Eretmochelys

มีลักษณะคล้ายเต่าตนุ (Chelonia mydas) โดยที่เป็นเต่าทะเลขนาดกลาง มีลำตัวไม่ใหญ่มากนัก จะงอยปากแหลมงองุ้มคล้ายกับจะงอยปากของนกเหยี่ยว มีเกล็ดบริเวณหัวด้านหน้า 2 คู่ และเกล็ดบริเวณด้านข้างข้างละ 4 เกล็ด ลักษณะของกระดองมีลวดลายและสีสันสวยงาม ขอบกระดองเป็นหยักโดยรอบ ซึ่งในอดีตมักจะถูกนำไปทำเป็นเครื่องประดับและข้าวของต่าง ๆ เช่น หวี เมื่อโตเต็มที่ จะมีขนาดความยาวประมาณ 100 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 120 กิโลกรัม

เต่ากระพบกระจายพันธุ์ในเขตอบอุ่นในมหาสมุทรทั่วทั้งโลก โดยมักอาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งที่สงบเงียบไม่มีการรบกวน จากการศึกษาพบว่า เต่ากระกินทั้งได้พืชและสัตว์ โดยใช้ปากที่งองุ้มนี้กินทั้งสาหร่ายทะเลหญ้าทะเล รวมทั้งสัตว์น้ำประเภทต่าง ๆ รวมถึงปะการังด้วยและวางไข่บนชายหาดครั้งละ 150-250 ฟองจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 และจัดเป็น 1 ใน 4 ชนิดของเต่าทะเลที่พบได้ในน่านน้ำไทย

              พะยูน

มีการศึกษาพะยูนในทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1776 โดยได้ตัวอย่างต้นแบบจากที่จับได้จากน่านน้ำแหลมกู๊ดโฮปถึงฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายโลมาและวาฬ เดิมจึงถูกจัดรวมอยู่ในอันดับเดียวกันคือ Cetacea แต่จากการศึกษาลักษณะโครงสร้างโดยละเอียดพบว่ามีความแตกต่างกันมาก กล่าวคือ มีขนาดเล็กกว่า หัวกลม รูจมูกแยกจากกัน ปากเล็ก มีฟันหน้าและฟันกรามพัฒนาดี ไม่เป็นฟันยอดแหลมธรรมดาอย่างวาฬและมีเส้นขนที่ริมฝีปากตลอดชีวิต ใน ค.ศ. 1816 อ็องรี มารี ดูว์ครอแต เดอ แบล็งวีล นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้แยกความแตกต่างระหว่างพะยูนกับโลมาและวาฬออกจากกัน และจัดพะยูนเข้าไว้ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกีบในอันดับ Sirenia โดยนับว่าพะยูนมีบรรพบุรุษร่วมกันกับช้างมาก่อน

นอกจากนี้ การศึกษาซากโบราณของพะยูนในสกุล Eotheroides ในประเทศอียิปต์ ยังพบว่ามีลักษณะบางอย่างเหมือนและใกล้เคียงกันกับ Moeritherium ซึ่งเป็นต้นตระกูลของช้างยุคอีโอซีนตอนต้นหรือเมื่อประมาณ 40 ล้านปีมาแล้ว Eotheroides เป็นสัตว์มี 4 ขา มีฟันครบและอาศัยอยู่ในน้ำ ต่อมามีวิวัฒนาการเพื่อให้อาศัยอยู่ในน้ำได้ดีขึ้น โดยขาหลังจะลดขนาดลงและหายไปในที่สุด ส่วนขาหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะคล้ายใบพายเพื่อให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำ จากนั้นก็มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นพะยูนในปัจจุบัน

           ปลาการ์ตูน

ปลาการ์ตูน เป็นปลากระดูกแข็งขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในทะเล จัดอยู่ในวงศ์ย่อย Amphiprioninae ในวงศ์ปลาสลิดหิน (Pomacentridae)

ลักษณะ

เป็นปลาที่มีสีสันสวยงาม โดยทั่วไปประกอบด้วยสีส้มแดงดำเหลือง และมีสีขาวผ่านกลางลำตัว 1-3 แถบ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นชนิดเดียวกัน ก็จะมีสีแตกต่างกันเล็กน้อยเสมอ ซึ่งความแตกต่างนี้ทำให้จดจำคู่ได้ นอกจากนั้น แหล่งที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันทำให้เกิดการแปรผันด้วย ปลาการ์ตูนอยู่กันเป็นครอบครัว กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร เป็นปลาที่หวงถิ่นมาก มีเขตที่อยู่ของตนเอง

การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย

พบอาศัยอยู่ตามแนวปะการังในบริเวณเส้นศูนย์สูตรทั่วโลก อาศัยอยู่ตามแนวปะการังกับดอกไม้ทะเล

        วงศ์ย่อยปลากะรัง

วงศ์ย่อยปลากะรัง หรือ วงศ์ย่อยปลาเก๋า  เป็นวงศ์ย่อยของปลากระดูกแข็งทะเลในวงศ์ Serranidae หรือ ปลากะรัง หรือปลาเก๋า ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Epinephelinae

ลักษณะโดยทั่วไปมีลำตัวสั้นและแบนทางด้านข้าง เกล็ดขนาดเล็ก ปากกว้างและมักมีฟันเขี้ยวตรงปลายปาก ขนาดโดยทั่วไป 30-60 เซนติเมตร ยกเว้นบางชนิดที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 3 เมตร พื้นลำตัวอาจมีจุด บั้ง ลายเส้นตามยาวบ้าง ตามขวางบ้างแตกต่างกันไป สีส่วนใหญ่มีสีน้ำตาล และบางชนิดมีสีสันสะดุดตาเป็นสีแดง ครีบหลังเริ่มต้นด้วยครีบแข็ง ตามด้วยครีบอ่อนเป็นรูปมนมาจรดโคนหาง และรับกับครีบทวารด้านล่าง ส่วนครีบหางมักเป็นรูปพัดโค้งหรือรูปตัด

การดำรงชีวิตส่วนใหญ่ของปลากะรัง อาศัยอยู่ใกล้พื้นทะเลที่อาจเป็นดินโคน ดินทราย และมักหลบซ่อนอยู่ตามกองวัสดุใต้น้ำและซอกปะการัง อย่างไรก็ตามในสภาพธรรมชาติสามารถเปลี่ยนสีของลำตัวให้เข้มหรือจางได้ เพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ นอกจากนี้ในแต่ละระยะของการเจริญเติบโต สีและลวดลายบนตัวปลาอาจเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เช่น ในวัยระยะรุ่นอาจมีคาดตามขวางเด่นชัด แต่เมื่อโตเต็มวัยคาดตามขวางจะค่อย ๆ เลื่อนหายไป เป็นต้น

เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยนิยมนำมาบริโภคเป็นปลาเศรษฐกิจ

ที่มาของชื่อ 'ปลากะรัง' เชื่อว่า มาจากสภาพแวดล้อมที่อาศัยตามแนวปะการังหรือกะรัง นั่นเอง ส่วนคำว่า 'grouper' มาจากภาษาโปรตุเกสคำว่า garoupa จากอเมริกาใต้

ประวัติส่วนตัว

สถิติเยี่ยมชม

88